หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กุหลาบของสิริน ความรักนั้นไซร้ไร้กฏเกณฑ์


สนพ.ปิงฟ้าวิลันดา
อ่านออนไลน์
อ่านตอนพิเศษ(ไม่มีในหนังสือ)

อ่านงานคุณราชา'วดีทีไร พอจะรีวิวได้แต่นั่งนิ่ง อึ้งๆ ต้องทำใจก่อนทุกที อืม..นวนิยายเรื่องที่สองนี้ให้ความรู้สึกต่างจากเรื่องแรกอย่าง ปิงฟ้าวิลันดา อยู่มากพอสมควร ทั้งที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายกันมากก็ตาม แต่ก็ต่างกันมากด้วยเช่นกัน

กุหลาบของสิรินเป็นเรื่องราวระหว่างจารึกและสิริน หญิงสองคนที่มีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของอายุ ที่ห่างกันมากเป็น 20 ปี หรือฐานะเองก็ดูจะไกลกันไม่แพ้อายุ และทั้งสองคนก็ยังเป็นครูและลูกศิษย์กันอีก โอ้..แค่นี้ก็ดูมันไม่น่าจะมีอะไรเป็นไปได้แล้ว โดยยังไม่ต้องไปย้ำซ้ำที่ว่านี่เป็นความรักระหว่างผู้หญิง!! เอ่อ..ฟังดูเหนื่อยพิกล ฮ่ะฮ่ะ

ถ้าใครมีโอกาสได้อ่านปิงฟ้าวิลันดาแล้วก็คงจะจำได้ว่าจารึกเป็นใคร เธอคือหลานสาวสุดรักของวิลันดาจากนวินิยายเล่มแรกปิงฟ้าวิลันดานั่นเองค่ะ อิอิ ตอนอ่านก็แอบตกใจ เพราะไม่คาดคิดว่าจะเอาตัวละครในเรื่องแรกมาเล่าเรื่องราวแยกต่อ แต่เป็นเรื่องที่เกิดหลังจากเล่มแรกนานเกือบ 20 ปีเชียวนะ ดังนั้นแปลว่าจะมีการพูดถึงตัวเอกจากเล่มแรกด้วย ถ้าไม่อยากโดนสปอยด์เรื่องราวเราแนะนำให้เริ่มอ่านปิงฟ้าวิลันดาก่อนเล่มนี้

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ เราใช้เวลานอ่านเล่มนวนิยายนี้นานกว่าที่ควรจะเป็น หมายถึงนานกว่ามาตราฐานปกติของตัวเอง ที่จริงถามว่าเรื่องนี้เศร้าไหม คือมันก็ไม่ใช่แบบเศร้ารันทดอะไรแบบนั้นนะ อย่างที่เราเคยรีวิวไปแล้วเอนทรี่ก่อนว่า งานของคุณราชา'วดีเนี่ยมันจะเล่นกับอารมณ์คนอ่านแบบซึมลึก ไม่รู้สึกอะไรรุนแรงในทีแรก แต่จะค่อยๆ ชัดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เราแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันอมเศร้า อมเทายังไงไม่รู้น่ะ มันเลยทำให้เราเหนื่อยๆ เวลาอ่าน

น่าแปลกที่ปิงฟ้าและวิลันดาเองก็มีอายุต่างกันเยอะพอๆ กับที่จารึกต่างกับสิรินแต่ทำไมเรากลับรู้สึกสงสารและเห็นใจจารึกมากกว่าวิลันดาอย่างมากก็ไม่รู้ ตอนอ่านปิงฟ้าฯ เราไม่เศร้าเลย เรายิ้มเยอะมาก มีความสุขสุดๆ ทั้งที่ก็มีเรื่องทุกข์ เรื่องเศร้ามากมาย แต่เราก็อิ่มอกอิ่มใจมากมายเช่นกัน แต่เรื่องนี้เราอ่านไปเศร้าไป ทั้งที่มันไม่ควรจะเศร้าขนาดนี้เลยด้วยซ้ำเขียนแบบนี้อย่าเพิ่งตกอกตกใจว่าเรื่องมันน่าหดหู่ขนาดนั้นเชียวเหรอ มันก็เปล่าหรอกค่ะ อย่าเพิ่งกลัว ฮ่ะฮ่ะ เพียงแต่เราแค่รู้สึกว่าความรักครั้งนี้มันช่างดูยากลำบากเหลือเกิน

พ่อของสิรินมีอาชีพขับสองแถว ส่วนแม่เป็นช่างเขียนลงลายเครื่องรัก สิรินมีพี่สาวคือสร้อยแก้วและน้องสาวสิริยา ส่วนจารึกนั้นเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนสิริน เป็นน้องคนเล็กในบรรดาพี่น้อง 5 คนของคุณแม่ฟองจันทร์ แน่นอนว่าฐานะคนทั้งคู่นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง (ต่างยิ่งกว่าปิงฟ้าและวิลันดาเยอะทีเดียว) แต่ไม่ว่าจะต่างกันแค่ไหนและอย่างไร ความรักก็คือความรัก และคุณครูจารึกจะได้รับกุหลาบสีแดงของสิรินทุกวันจันทร์

เรื่องราวนั้นกล่าวถึงตัวละครหลายตัวมาก ไม่ใช่แค่เพียงสิรินและจารึกเท่านั้น และอย่างที่เคยบอกว่าคุณราชา'วดีใส่ใจตัวละครทุกตัวอย่างเท่าเทียมกัน จนเผลอๆ บางทีคนอ่านแอบน้อยใจที่บางครั้งใส่ใจแทบจะพอๆ กับตัวเอก แต่ก็ด้วยทั้งหมดทั้งมวลมันเกี่ยวข้องกับการดำเนินเนื้อเรื่องค่ะ มันเป็นเหตุเป็นผล ดังนั้นกุหลาบของสิรินจึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนสองคน แต่มันมีทุกด้านดำเนินไปเฉกเช่นเดียวกับชีวิตคนจริงๆ มีการใส่สถานการณ์ลงไปให้สมจริง เช่น เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงปฏิวัติ (อีกครั้งที่ต้องบอกว่าไม่ต้องกังวลเรื่องกีฬาสี เพราะเป็นการพูดถึงเหตุการณ์ทั่วไปไม่ใช่การบอกฝ่ายไหนดีไม่ดี)

สิ่งที่เราประทับใจที่สุดก็คือ ความรักที่คนทั้งคู่มีให้กัน มันแหวกแหกออกจากกฏเกณฑ์แทบทุกข้อ อย่างที่เกริ่นๆ ไปในย่อหน้าแรกๆ เพราะทั้งจารึกและสิรินแตกต่างกันในหลายด้านที่ไม่ใช่แค่เพียงเพศเท่านั้น ความรักคนทั้งคู่มันดูแทบจะไม่มีวันเป็นไปได้เลย นี่คือสิ่งที่เรารุ้สึกประทับใจ และมันก็ทำให้เราเศร้าไปด้วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ งดงามแต่ก็เศร้า ทีจริงสาเหตุหนึ่งก็อาจจะเพราะด้วยบุคคลิกของสิรินต่างกับปิงฟ้าตรงที่ดูเฉยๆ นิ่งๆ ด้วยมั้งคะ ปิงฟ้าว่านิ่งแล้วสิรินนิ่งกว่าอีก แถมดื้อตาใสด้วย จริงอยู่ที่สิรินเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายแต่บางครั้งมันก็กึ่งๆ เหมือนเย็นชา(ในสายตาเรา) จุดนี้มั้งทำให้เราน้อยใจแทนจารึกหลายๆ ครั้ง

แต่เรื่องนี้ก็มีข้อติอยู่เหมือนกัน หลักๆ คือ พิมพ์ผิด น่าแปลกที่เล่มนี้พิมพ์ผิดเยอะพอสมควร มีพิมพ์ผิดสองแบบคือ ผิดแบบสะกดผิด กับพิมพ์ชื่อตัวละครผิด บางทีมีชื่อตัวละครจากปิงฟ้าฯ มาโผล่ทั้งที่ไม่เกี่ยวกันเลย เลยทำให้ขัดใจอยู่บ้าง และอีกครั้งที่เรารู้สึกว่าจบเร็วเกินไปอีกแล้ว! เฮ้อ..เรามักมากใช่ไหมเนี่ย ฮ่ะฮ่ะ

เชื่อไหมคะ เราอ่านงานของพี่วดี (ขออนุญาตเรียกพี่) แล้วเรานึกไปถึงงานของคุณ Sarah Waters เปล่าคะเราไม่ได้หมายถึงสำนวนการแต่งหรือแนวเรื่อง แต่เรานึกถึงว่าคงจะดีถ้ามีค่ายผู้จัดไหนสักค่ายทำละคร 3 ตอนพิเศษอย่างที่ BBC เคยทำให้กับโนเวลของคุณซาราห์บ้าง ทำกันอย่างอลังการงานสร้าง ประณีตและให้เกียรติในความรักของผู้อื่นสุดๆ แม้จะเป็นรักระหว่างผู้หญิงก็ตาม ไม่รู้ต้องรอเป็น 100 ปีรึเปล่า เอ..หรือเผลอๆ 100 ชาติก็ไม่รู้ซิ เฮ้อ..เราฝันลมๆ แล้งๆ ใช่ไหมนี่

สรุป กุหลาบของสิรินเป็นเรื่องรักที่กินใจ สะท้อนใจ สะเทือนใจ เรามาก (แบบซึมลึก) เราอ่านจบเรายังรู้สึกเศร้าอยู่เลยทั้งที่เรื่องราวมันก็ไม่ได้เศร๊าเศร้าอะไรขนาดนั้น ไม่ได้สปอยด์นะ แค่จะบอกว่าไม่ต้องกังวลไปค่ะ อ่านเถอะ ไม่ผิดหวังหรอก เราแค่อธิบายไม่ถูกแหะ เพราะในกุหลาบของสิรินมีเรื่องรักของคนหลายคู่นะคะไม่ใช่แค่ของสิรินและจารึก อาจจะเพราะแบบนั้นมั้งเราถึงได้รู้สึกเศร้า เพราะบางเรื่องมันก็เศร้าจริงๆ แต่เราก็ประทับใจในความงามของความรักของคนทุกคู่ อ่านจบก็ไปฟังเพลงบุพเพสันนิวาสด้วยนะจะได้อิน เพราะความรักนั้นไซร้ไร้กฏเกณฑ์ค่ะ..

ป.ล. วิจารณ์ปก มีสับสนนิดหน่อย เพราะปกที่เราอ่านไม่ใช่แบบด้านบนที่นำภาพมาลงนะ ของเรามันเป็นสีชมพูอมแดงและมีกุหลาบดอกใหญ่บนปก เราเลยเปรียบเทียบไม่ถูก แต่ถ้าดูๆ เราชอบปกแบบพื้นขาวมากกว่านะคะ แต่ปกพื้นหลังชมพูก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร เพียงแต่ก็ไม่ได้ปลื้มเป็นพิเศษ แต่สรุปเราถือว่าโอเคนะ

คะแนน 9/10 (เราไม่รู้จะพูดยังไงดีนะว่าเรารู้สึประทับใจกุหลาบของสิรินมากกว่าปิงฟ้าฯ ทั้งที่ให้คะแนนน้อยกว่า งงไหมคะ เราก็ง๊งงงตัวเอง เอาเป็นความประทับใจกับคะแนนมันไม่เกี่ยวกัน อิอิ)

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บายาวี 3 รักร้อน ร้อนรัก


บายาวี 3

ในที่สุดบายาวี 3 ก็มาถึงมือเราพร้อมที่คั่นหนังสือสุดเก๋ (ขอบอกว่าที่คั่นน่ารักม๊ากกกก) และด้วยเวลา(หรือจะบอกเป็นจำนวนชั่วโมงดี)ไม่นาน เราก็อ่านจบ จึงได้มาทำหน้าที่เจ้าของบล็อกที่ดีรีวิวกันต่อตามสัญญา อืม..มีคนอ่านบล็อกรึเปล่าเราก็ไม่รู้หรอกนะคะ แต่ถ้าเราได้อ่านหรือดู/ชมอะไรมาแล้ว เราก็อยากพูดถึง ชื่นชม ตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ อินพุตเมมโมรี่ไว้ในความทรงจำว่าได้เคยสัมผัสนั่นนี่นู่นมา ง่ายๆ ก็อยากระบายว่างั้นแหละ และทางที่ดีอ่านอะไรจบปั๊บต้องรีบรีวิวทันที ไม่งั้นโมเม้นท์นั่นจะเจือจางไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้นบางเรื่องที่ได้รับชม/อ่านมานานแล้ว ก็ถึงขั้นต้องขุดมาอ่าน/ชมใหม่กันเพื่อจะให้มันเข้าใจ ณ โมเม้นท์นั้นอย่างเต็มที่จริงๆ

เอนทรี่ก่อนๆ เราได้ให้คะแนนบายาวี 1 และ 2 ไปแล้ว แถมยังได้วิจารณ์(สงสัยเรียกด่ามากกว่า) ตัวเอกของเรื่องอย่างใบบุญไปเยอะพอสมควร แถมทิ้งท้ายไว้ด้วยซ้ำว่าต้องรอดูว่า บายาวี 3 จะทำให้เรารักใบบุญได้เสียทีไหม เป็นเรื่องน่าดีใจมากที่เราคงจะบอกได้อย่างเต็มปากว่าตอนนี้เราไม่เกลียดเธอแล้ว เย้ๆ! ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ไอ้รักไหมคงไม่ถึงขนาดนั้น ใบบุญไม่ใช่ตัวละครที่ตรงตามความชอบเราซักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยๆ ในภาค 3 เธอก็ทำให้เราหายเกลียดและเห็นใจ รวมถึงเริ่มเข้าใจได้มากขึ้นโข! ดีใจจริงๆ

ในภาคนี้แน่นอนว่าเนื้อหาต่อจากภาค 2 เริ่มต้นมาได้อย่างลุ้นระทึกสุดๆ! โอ้ว อ่านไปหัวใจจะวาย ด้วยจำนวน 478 หน้า เรากล้าพูดได้เลยว่าบายาวีแทบไม่แผ่วลงซักนิดเลยในเรื่องของความร้อนแรง! คือไม่ใช่ว่ามันร้อนแบบอีโรต่งอีโรติกอะไรหรอกนะ แต่ร้อนที่การประทะคารม อารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร เครื่องร้อนตั้งแต่ยังไม่เริ่มและแรงก็ไม่แผ่นจนถึงเส้นชัย ขนาดนั้นเลยทีเดียว เก่งมาก!

แต่ก็อีกนั่นล่ะ ที่เราคงต้องบอกว่าบายาวีเป็นนวนิยายที่เราอ่านแล้วรู้สึกเหนื่อยมาก(ๆๆๆ) เฮ้อ..มันเล่นกับอารมณ์คนอ่านเสียจนหัวปั้น อ่านไปอินไป โกรธไป โมโหไป ลุ้นไปกับตัวละครชนิดบรรทัดต่อบรรทัดเลย คล้ายจะเป็นบ้าเอาได้ง่ายๆ กร๊ากกก ไม่ขนาดนั้นค่ะ ก็ต้องยกย่องความเก่งให้คุณลลนลเธอล่ะ ที่แต่งจนคนอ่านอินจัดไม่จบได้ง่ายๆ แบบนี้

สิ่งที่ประทับใจในภาคนี้เห็นจะเป็นความเปลี่ยนแปลงของใบบุญ! ที่จริงเธอก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมคือวีน(งี่เง่า)เหมือนเดิมอยู่นั่นแหละค่ะ แต่ภาคนี้ดูจะรู้ตัว&สำนึกได้มากขึ้น แถมบางบทบางตอน ยังทำให้เราใจอ่อนแอบเผลอรักไปนิดๆ จนได้ ฮ่าฮ่า บทจะทำตัวน่ารักก็เล่นเอาเกลียดไม่ลงกันเลยทีเดียว และภาคนี้ผู้เขียนก็ทำให้เราเข้าใจเธอมากขึ้นว่าเพราะเหตุใดใบบุญจึงเป็นคนแบบนี้ ก็อืม ต้องทดสอบตัวเองไปด้วยที่จะเปิดใจรับคนที่แตกต่างให้ได้ เราก็รู้สึกว่าเราได้อะไรจากบายาวีไปมากกว่าความสนุกเหมือนกัน

อีกอย่างไม่ใช่แค่ใบบุญแต่ดูตัวละครอื่นๆ ก็เปลี่ยนแปลงเหมือนกัน เรียกว่าพัฒนาในทางที่ดีขึ้น โตขึ้น ทำให้เราอ่านได้อย่างสบายใจได้มากขึ้น ตัวละครงี่เง่าได้น่ารักขึ้น คือก็ไม่เลิกงี่เง่าหรอก แต่จัดการความงี่เง่าของตัวเองได้ ก็ถือว่าโอเค เบลล์ภาคนี้ก็ทำให้ชื่นใจขึ้นนะ กล้าหือบ้างอะไรบ้าง แถมบัวตองก็ดูจะโตขึ้นบ้าง? ลุ้นน้องคนเล็กเหนื่อยจริงๆ โฟร์ทเองก็ดูอ่อนโยนขึ้น แต่ไม่อยากสปอยด์อ่ะ (นี่ขนาดไม่สปอยด์นะ ฮ่าฮ่าฮ่า) จะไม่ลงรายละเอียดอยากรู้คงต้องไปอ่านเองว่าเปลี่ยนยังไง

คือถ้าจะให้เปรียบนะบายาวี 3 เหมือนรถไฟเหอะตีลังกาที่มันขึ้นๆ ลงๆ มีม้วนให้ไส้กิ่วหน้าเหวอแทบจะตลอดเวลา จะมีจุดพักให้คลายเครียดได้บ้างไม่ทันไรก็ดันเจอโลปเกลียวหักศอกไปซะจุกจนต้องหาที่ยึดเลยขนาดนั้น แต่นั่นแหละ เสน่ห์ของบายาวี! มันดิบ มันแรงส์ มันร้อน มันเผ็ด ถึงใจแบบนี้แหละ ทำให้เราทั้งรักทั้งเกลียดได้ในเวลาเดียวกัน อ่านไปก็เหนื่อย(ใจ)ไปแต่ก็หยุดอ่านไม่ได้ มันสนุกขั้นนั้น

ไม่น่าเชื่อนะว่าในบรรดาทั้ง 3 ภาค ภาค 3 จะทำให้เราประทับใจมากที่สุด ชนะภาค 1 ได้อย่างขาดลอย ส่วนใหญ่ถ้าเป็นหนังไตรภาคภาค 3 งี้แป๊กทุกทีไม่ค่อยมีอะไรสู้ออริจินัลได้เลยอ่ะ แต่บายาวี 3 ทำได้ และเราก็แอบหวังลึกๆ ที่จะได้เห็นภาค 4 ภาค 5 ตามออกมาอีกด้วย ก็คงต้องอยู่ที่ผู้เขียนว่าจะเบื่อไปเสียก่อนหรือเปล่า ขนาดคนอ่านอ่านยังเหนื่อยขนาดนี้ คนแต่งน่าจะเหนื่อยกว่าเยอะ แต่มั่นใจได้ว่าแบรนด์นี้ติดตลาดไปแล้ว ออกมายังไงก็มีคนซื้อแน่นอน นับเราล่วงหน้าไว้ได้เลย!

แต่ภาค 3 คุณลลนลเธอพิมพ์จำหน่ายเองนะคะ หมายถึงไม่ได้ผ่านคัมออนอย่าง 2 ภาคแรก แอบใจหายอยู่เหมือนกันว่าวงการหนังสือยูริบ้านเรามันจะก้าวหน้าไปได้บ้างไหม นึกแล้วก็น่าใจหาย นี่ถ้าจะไม่มีหนังสือจากคัมออนออกมาอีกจริงอย่างที่เคยได้ยินลือๆ มาล่ะก็ มันก็น่าเสียดาย เฮ้อ เข้าใจว่าเป็นเรื่องของธุรกิจ(และไม่รู้รวมถึงอคติต่อเพศที่ 3 ด้วยรึเปล่า) และจำนวนคนอ่านในบ้านเราเราไม่แน่ใจว่ามันจะพอให้อยู่รอดได้ไหม เพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่าราคาหนังสือบ้านเรามีราคาแพงมากจริงๆ ถ้าเทียบกับค่าครองชีพคนคนไทยตามมาตราฐาน เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ นี่ไม่ต้องพูดไปถึงว่าจะมีนิยายยูริซักเรื่องได้ชิงรางวัลอะไรเลยนะ แค่จะเอาให้รอดในโลกธุรกิจยังดูลำบากขนาดนี้ แต่ก็นะคะเราคนหนึ่งล่ะจะยังคงสนับสนุนต่อไป ใครสนใจก็ไปซื้อกันได้ที่ลิงค์ใต้ภาพได้เลยนะคะ ถือว่าอุดหนุนนักเขียนให้มีแรงเขียนเล่มต่อๆ ไป

อ้อ! ชมและออกนอกเรื่องกันไปนาน ขอติหน่อย สิ่งที่เราเสียดายมากถึงมากที่สุด ก็คือตัวละครอย่างบัวตอง หรือ โฟร์ท กลับมีเรื่องราวกล่าวถึงน้อยมากในภาคนี้ ทั้งที่แต่แรกเรานึกว่าคงจะถูกกล่าวถึงเต็มๆ เสียด้วยซ้ำ ด้วยเราคิดว่าเรื่องของใบบุญและฤชุดาอาจถึงทางตัน แต่ก็เปล่าเลยเพราะทั้งสองคนยังมีเรื่องน่าสนใจให้พูดถึงได้ตลอดทั้งเรื่อง แต่เราเสียดายน่ะ ทุกครั้งที่ถึงคิวสองสาวตัวประกอบนี้เราได้ยิ้มมุมปากทุกที เป็นตัวละครที่งี่เง่าได้น่าร๊ากน่าชังจริงๆ และยิ่งน่าเสียดายหนักไปอีกเพราะในที่สุดเรื่องของสองคนนี้ก็ยังไม่ชัดเจน จนบางทีงงว่าตกลงคนเขียนลืมไปหรือเปล่าว่ายังมีสองคนนี้อยู่? นี้คงเป็นจุดเสียเดียวของบายาวี 3 ที่นึกออก

สรุป บายาวี 3 ประสบความสำเร็จในการเรียกความประทับใจเรากลับคืนมาจากภาค 2 ได้ในที่สุด แถมเรารักมากกว่าภาค 1 อีก (ยืน standing ovation 1 นาที) แม้มันจะมีจุดบกพร่องบางจุดที่ทำให้เราขัดใจไปบ้าง แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบายาวีเป็นเรื่องของคนที่รักร้อน และคนที่ร้อนรัก ใครรักใครร้อนหรือทั้งรักทั้งร้อนไปหาอ่านกันเองนะคะ แต่กล้าพูดได้ว่าคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอน

ป.ล.ตามธรรมเนียนวิจารณ์ปก ในบรรดา 3 ภาค ชอบปกภาค 2 มากที่สุด ลงตัวสุดและเข้ากับเนื้อหามากที่สุด ภาค 3 นี่คือถ้าไม่เคยอ่านบายาวีมาก่อนเราไม่แน่ใจว่าคนจะเก็ตไหม เพราะมันดูไม่เข้ากับเรื่องราวหรือตัวละครเลย ผิดแผกไปจากสิ้นเชิงสุดๆ แต่ก็ชอบมากกว่าปกภาค 1 เราว่าปกภาค 3 ออกแนวอินดี้ เก๋ๆ ดี คือจริงๆ ดูไปก็คล้ายหน้าปกสมุด notebook ธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่มันก็น่ารักในแบบของตัวเอง ประมาณนั้น แต่ส่วนตัวชอบปกที่ไม่เยอะนะ simpleๆ อ้อ! หน้าปกยังง่ายต่อการพกพาอย่างสบายใจ ฮ่ะฮ่ะ

คะแนน 8.5/10 (อีกนิสสสเดียวได้ 9 แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเรื่องของโฟร์ทและบัวตองมันดูลวกๆ รีบๆ ลืมๆ เกินไปล่ะก็นะ)

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รีวิวปิงฟ้าวิลันดา นวนิยายแสนรักของราชา'วดี


สนพ.ปิงฟ้าวิลันดา

อืม..ก่อนรีวิวขอตั้งสตินิดหนึ่ง ..ฟิ้ว..(เสียงถอนใจ) ฮ่ะฮ่ะ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ บ้าเล่นมุขไปงั้น เอาล่ะเข้าสู่เนื้อหากันเลยดีกว่า เราไม่แน่ใจว่าในวงการนวนิยายยูริจะมีกี่คนที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินนามปากกา ราชา'วดี หรือ นวนิยายเรื่อง ปิงฟ้าวิลันดา เราเชื่อว่าแม้จะไม่เคยอ่านแต่ก็น่าจะเคยได้ยินกันมาบ้าง(ต้องเคยได้ยินซิ! ตำนานเลยนะ!) แต่ที่จริงมันก็คงจะมีล่ะนะ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ อาจจะไม่ทัน แต่มันก็ไม่ได้นานขนาดนั้น..ก็พิมพ์ปี 2547 ก็ 7 กว่าปีเองค่ะ ฮ่ะฮ่ะ ที่จริงแค่คำว่ายูริเองก็เถอะ แค่ศัพท์นี้มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ทันนวนิยายเรื่องนี้แล้ว แต่ที่เราใช้ชื่อบล็อกนี้อาจเพราะเราเคยชินและใกล้ชิดกับอนิเมะและมังงะมากกว่ามั้งคะ เราเลยเหมาทุกอย่างทั้งหนังทั้งเรื่องแต่งเป็นยูริไปให้เข้าใจง่ายเลย พล่ามเยอะแล้วเข้าเรื่องดีกว่า

ปิงฟ้าวิลันดา เป็นเรื่องราวของคนสองคน ที่ช่างแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นอายุ หรือฐานะ ระหว่างจิตกรสาวปิงฟ้า กับเศรษฐีนีชาวเหนือวิลันดา ดูเอาเถอะ แค่ชื่อเราก็ปลื้มแล้ว โอ๊ย..ชื่อตัวละครก็เอามาต่อเรียงร้อยให้เข้ากันอย่างไพเราะได้ และนี่เป็นตัวอย่างของหน้าก่อนเปิดเรื่องสารจากผู้แต่งคุณราชา'วดี
ฉันเขียนหนังสือด้วยหัวใจ
และซุกซ่อนทุกอย่างที่ปรารถนาเอาไว้ในตัวอักษร
ฉันฝังรหัสลับเอาไว้ในแต่ละบทตอน
ให้ใครบางคนค้นหา

ฉันเขียนหนังสือเล่มนี้..ด้วยความรัก..
ราชา'วดี
จะว่าเวอร์ก็ได้นะ แต่แค่เราอ่านก็ขนลุกเกรียวไปด้วยรู้สึกว่ามันต้องเป็นนวนิยายที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่งแน่ ทั้งที่เรายังไม่ได้เปิดอ่านตอนแรกด้วยซ้ำ! เอ้อ เอากับเขาซิ ท่าจะบ้า ฮ่ะฮ่ะ ทั้งที่จริงแล้วเรื่องนี้สามารถอ่านได้ฟรีนะคะ นักเขียนใจกว้างมากๆ ใครสนใจสามารถไปอ่านได้ที่ ลิงค์นี้ ได้เลยค่ะ แต่ก็อยากให้สนับสนุนกันเยอะๆ จังค่ะ เล่มละ 350 บาท ส่วนเล่มที่มีตำหนิ(เล็กน้อย)ขายเพียงเล่มละ 250 เท่านั้น! (ผู้แต่งพิมพ์และจัดจำหน่ายเองนะคะ ไม่ผ่านสายส่ง ซื้อได้ที่ลิงค์สนพ.ปิงฟ้าฯ ลิงค์ใต้รูปได้เลยค่ะ) ก็อย่างที่บอกทั้งที่สามารถอ่านได้ฟรีแต่เราก็ไม่ได้มีโอกาสอ่าน ก็เป็นงี้ประจำ อะไรดังๆ นิยมๆ เราเหมือนจะต่อต้านกลายๆ ง่ะ ท่าจะโรคจิต แต่แล้วก็ได้อ่านอยู่ดี

และเมื่อได้อ่านแล้วเราก็พบว่า..ใช่ นวินิยายเรื่องนี้ดีจริงๆ โปรดสังเกตคำที่ใช้ด้วยนะคะ เราบอกว่าดี สำหรับเราดีกับสนุกต่างกันนะ เรื่องบางเรื่องสนุกแต่ไม่ได้แปลว่าดี และเรื่องดีบางเรื่องไม่จำเป็นต้องสนุก (หนังสือรางวัลที่จัดอยู่ในขั้นว่า 'ดี' หลายเรื่องไม่ 'สนุก' สักนิดเดียว อาทิ ลองไปอ่านคำพิพากษาของ ชาติ กอบจิตติ ซิคะ เป็นหนังสือที่ดีมากแต่ห่างไกลกับคำว่าสนุกอย่างมองกันไม่เห็น) สำหรับเราเรื่องปิงฟ้าวิลันดาจัดเป็นหนังสือที่ 'ดี' ขึ้นหิ้ง(ส่วนตัวเรา)ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่สนุกหรอกนะคะ ที่จริงมันก็สนุกในแบบหนึ่ง ที่อาจไม่ได้บันเทิงทางอารมณ์โรแมนซ์มากมายเช่นเรื่องอื่นๆ ที่เราเคยอ่าน

ตั้งแต่ตัวอักษรแรกของบทที่ 1 จนถึงอักษรสุดท้ายในบทอวสาร เราเชื่อจริงๆ ว่านี่เป็นนวนิยายแสนรักของคุณราชา'วดี และเธอเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยความรัก เรารับรู้ได้ถึงความใส่ใจที่มีต่อทุกตัวอักษรหรือทุกตัวละครอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงความสละสลวยของภาษาที่ใช้ และถึงความพิธีพิธันใส่ใจในทุกเรื่องราว จนเรารู้สึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นราวกับเคยและหรือกำลังเกิดขึ้นจริงๆ วิลันดากับปิงฟ้ามีตัวตนจริงๆ ในที่ไหนสักแห่ง! มันสมจริงถึงขั้นนั้น

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านวนิยายเรื่องนี้จะไม่มีข้อบกพร่องหรือเราไม่มีข้อติอะไรหรอกนะคะ เราเองก็ไม่ชอบอะไรที่มันไม่สามารถติได้ เราเชื่อว่าทุกเรื่องต้องสามารถวิพาษ์วิจารณ์ได้ และเราก็เป็นพวกลูกคุณช่างติด้วยซิ เหอๆ เพียงแต่ว่าข้อดีและความประทับใจของนิวนิยายเรื่องนี้มันเด่นจนกลบ กลบจนเรายอมที่จะมองข้ามตำหนิเหล่านั้นไปได้มากกว่า มาเข้าเรื่องสิ่งที่ประทับใจดีกว่า

เราประทับใจการใช้ภาษามากๆ มันเป็นภาษาที่เราไม่ค่อยคุ้น และผู้แต่งใช้ภาษาคำเมือง (ภาษาเหนือ) สอดแทรกบ่อยๆ ก็ แหม เรื่องราวและตัวละครเกี่ยวข้องกับภาคเหนือนี่คะ และมันเป็นจุดแข็งที่ทำให้เราชอบใจมาก คือเราอยากอ่านอะไรที่มันแตกต่างหลากหลาย เราอยากเรียนรู้วัฒนธรรมที่ไม่ใช่แค่ของภาคกลาง และอยากอ่านเรื่องราวที่มันมีอะไรมากกว่าแค่เรื่องรักระหว่างคนสองคน ซึ่งเรื่องนี้ทำได้ และทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ ด้วย ว่าแต่จะว่าไป..นักเขียนยูริที่เราชอบหลายคนก็มาจากทางภาคเหนือนะ แปลกจัง ทั้งคุณเบนต์ คุณอาคาริ บังเอิญไปไหม ^^"a

เรารู้สึกว่าผู้เขียนมีความรู้หลากหลาย มีประสบการณ์มาก และเข้าใจชีวิต มันสะท้อนออกมาจากเนื้อหาแต่ละบรรทัด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ศิลปะ สถานที่ (ที่ไม่ได้มีแค่ประเทศไทยหรือแค่กรุงเทพฯ) การเปรียบเปรย เรารู้สึกว่าเราได้ความรู้ตามไปด้วย และที่สำคัญที่สุดเรารู้สึกว่าผู้เขียนดูจะมีความรู้ด้านจิตวิทยาอยู่บ้าง มันแสดงออกมาจากตัวละครที่ดูมีมิติชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง พ่อแม่ เพื่อนข้างบ้าน ญาติๆ หรือคนรับใช้ คนงาน ไม่ว่าจะใคร แม้จะไม่ใช่ตัวละครเด่นแต่ก็ไม่ได้ถูกปล่อยละเลยไปเลย เรารู้สึกว่าผู้เขียนใส่ใจที่จะใส่ใจจิตใจของตัวละครแต่ละตัว ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ทอมหรือดี้ กระเทยตุ๊ดหรือเกย์ จะใคร เป็นคนสถานะใดก็ตาม อีกอย่างเรื่องนี้เราจะได้เห็นการเรียนรู้เติบโตของตัวละครได้ชัดเจน ก็นะ เล่ากันแต่เด็กเลย (ก็ไม่เด็กหรอก ทีนเอจๆ)

และที่ประทับใจคือเรารู้สึกว่าทั้งปิงฟ้าและวิลันดามีความรักต่อกันจากสิ่ง ที่อยู่ภายในไม่ใช่ภายนอก ไม่ใช่หลงที่เปลือกนอก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ฐานะ สถานะ หรือเพศ แต่ทั้งสองประทับใจกันตรงที่สิ่งที่อยู่ภายในมากกว่า นั่นมันทำให้เรารู้สึกว่างดงามและบริสุทธิ์

ข้อเสียเดียวที่เรามีให้ได้ก็คือเรารู้สึกว่ามันจบไวเกินไป ท้ายๆ เหมือนเร่งไวไปนิด เรายังไม่รู้สึกว่ามันควรจะจบ คือไม่ใช่จบไม่ดีหรืออะไรนะ แคว่ามันจบแบบเร็วเกินในความรู้สึก ทั้งที่ปูทุกอย่างมาหลายร้อยหน้าขนาดนั้น บทจะจบ อ้าว..จบแล้ว?! ทั้งที่ด้วยจำนวน 580 หน้ามันไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ในนิยายไทยเลยแท้ๆ แต่เรากลับรู้สึกว่ามันน้อยเกินไปอยู่ดี มีอีกสักสิบหน้าได้ไหม พลีส ให้มันสาใจกว่านี้ ชื่นใจกว่านี้ก่อน นี้คงเป็นข้อเสียเดียวที่เรานับได้(จริงๆ) อ้อ! อีกอย่าง การเล่าเรื่องบางครั้งอาจจะดูงงๆ ไปบ้าง เพราะมันจะสลับกันไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน

อ่านปิงฟ้าวิลันดาแล้วมีความสุขค่ะ มันอิ่น จุก ความงามของตัวอักษรมาก มัน..โอ๊ย บอกยาก เอ่อล้นมากกกก อ่านกันเองเถอะ นะๆๆๆ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ คือแต่ถ้าคุณจะอ่านก็ต้องทำความเข้าใจก่อนนะคะว่าปิงฟ้าวิลันดาไม่ใช่อะไรที่มันสำเร็จรูป คือมันไม่รวดเร็ว ไม่ปัจจุบันทันด่วน ไม่รีบ (อาจ)ไม่ทันใจ มันอ้อยอิ่ง เนิ่บนาบ ไม่พลีพลามอย่างมากๆ! แต่เรากลับชอบอย่างบอกไม่ถูก (ทั้งที่ปกติเราออกจะใจร้อน) อีกอย่างเราไม่รู้สึกอะไรรุนแรงมากในขณะอ่าน ทุกอย่างมันรู้สึกแบบซึมลึกอ่ะ อย่างบางเรื่องเศร้าจัดร้องไห้โห บางเรื่องฮาแตกขำกลิ้ง แต่เรื่องนี้ทุกอารมณ์มันจะเหมือนค่อยๆ ซึมไปช้าๆ ไม่มีอะไรโฮกฮากแต่ว่าก็หยุดอ่านไม่ได้ ประเภทซึมลึกและอยู่นาน และพอนานไปก็จะรู้สึกได้ชัดเจน ขนาดที่พอจบแล้วคุณก็ยังจะจำเรื่องต่างๆ อยู่ได้ มันลึกซึ้งขนาดนั้น

น่าแปลกที่เราพูดราวกับว่าปิงฟ้าวิลันดาเป็นเรื่องรักที่หวานหยดหย้อย ยูโทเปียสุดๆ จริงๆ ไม่ใช่หรอกนะคะ กลับกันมันเป็นเรื่องรักที่สมจริง เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต มีเจ็บปวด มีเรียนรู้ มีผิดหวัง หดหู่ ซึมเศร้า รวดร้าว ผลัดพราก มันมีทุกอารมณ์ จะสุขหรือทุกข์ก็ตาม เพียงแต่ผู้แต่งถ่ายทอดอารมณ์เหล่านั้นออกมาได้งามสุดๆ เท่านั้นเอ๊ง! ฮ่ะฮ่ะ

สรุป เราอยากให้ลองไปหากันมาอ่าน ที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักอ่านสายยูริด้วยซ้ำ สำหรับคนที่อ่านเรื่องชายหญิงก็สามารถจะอ่านได้ ขอเพียงคุณเปิดใจเท่านั้น เพราะเรื่องราวความรักระหว่างปิงฟ้าและวิลันดามันงดงาม สวยงามเกินกว่าจะแบ่งแยกว่าเฉพาะของคนกลุ่มใด ไม่ว่าจะใครก็ควรจะได้อ่านงานดีๆ เช่นเรื่องนี้

ป.ล.เป็นปกที่ช่างเรียบร้อยและใช้อะไรน้อยจริงๆ ใช้ภาพน้อย สีน้อย ตัวอักษรน้อย แต่กลับโดดเด่นสุดๆ และดูคลาสสิกสุดๆ เฮ้อ ขนาดปกเรายังหลงรักเลยคิดดู :)

คะแนน 10/10

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รีวิวบายาวีแบบดูโอ้ เล่ม 1-2 นิยายร้อนเปรียบดั่งแกงเผ็ดหม้อใหญ่



บายาวี ล.1
บายาวี ล.2

อะแฮ่ม วันนี้จะมารีวิวนิยายอีกเรื่อง (เรื่องนี้ได้ข่าวว่าดังมาก) จะไม่ดังได้ไงคะ ก็เล่นออกมาตั้งสามภาค แล้ว! ขึดเส้นใต้ให้เห็นเด่นๆ กันชัดๆ จะมีนิยายซักกี่เรื่องในบ้านเราโดยเฉพาะยูริที่จะออกกันเป็นทริปเปิ้ลได้ขนาดนี้ คำตอบก็คือก็บายาวีนี่แหละค่ะ เอาล่ะไม่รอช้าเข้าสู่เนื้อหากันเลย อ่ะ จะว่าไปที่จริงเรารอเล่ม 3 อยู่นะ ก็เลยแก้เบื่อโดยการเอาสองเล่มที่แล้วมารีวิวรอฆ่าเวลาเล่น

ถ้าให้สรุปเนื้อเรื่องสามบรรทัดสั้นๆ จะได้ว่า บายาวีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรับจ๊อบแปลกๆ ของนักเขียนสาวฤชุดา (เบลล์) ที่เดินทางไปบายาวีรีสอร์ทเพื่อทำให้เจ้าของรีสอร์ท ใบบุญ ตกหลุกรักเธอให้ได้ โดยที่เป้าหมายของผู้ว่าจ้างก็คือการแก้แค้น แค่นี้แหละค่ะพล็อตของบายาวี (จริงๆ) แต่นักเขียนเก่ง อันนี้ต้องชมตรงๆ คุณลลนลเก่งในการขยายความและขยายเรื่องต่อให้มันยาวไปได้ถึงภาค 3

ส่วนภาคสองนั้นจะมีตัวละครเพิ่มเติมเข้ามาคือ ภูชิตา หรือ โฟร์ท น้องสาวภูวดล ชายหนุ่มที่ตามจีบใบบุญมาตั้งแต่ภาคแรก ซึ่งเรื่องราวจะโฟกัสมาที่ตัวละครใหม่ตัวนี้กับบัวตองหลานสาวของใบบุญมากขึ้น ถ้าเทียบกันแล้วเราว่าภาคแรกกลมกล่อมกว่า (เผ็ดแบบควบคุมได้) แต่ภาคสองเราว่ามันเผ็ดเกินไปแบบโด่เด่ เราไม่ประทับใจเท่าภาคแรก ลุ้นอยู่ว่าภาคสามจะทำให้เรากลับมาประทับใจได้อีกไหม

เชื่อไหมคะทั้งที่รู้ว่าบายาวีดังแค่ไหน แต่เราก็ไม่ได้สนใจจะไปหามาอ่าน ตอนไปงานหนังสือก็เห็นโชว์หลาแต่ก็ไม่ได้คิดจะซื้อ แต่ไม่รู้ไงนะที่ตัดสินใจลองเข้าไปอ่านในเด็กดีแล้วรู้สึกติดใจจนต้องซื้อเป็นเล่มจนได้และก็ตามมาด้วยภาคสองโดยปริยาย เราอ่านนิยายเรื่องนี้ด้วยความรุ้สึกที่บอกไม่ถูกเป็นอย่างยิ่ง ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าตกใจเราไม่ได้บอกว่ามันไม่สนุกนะคะ ผิดถนัดที่จริงเราติดหนึบหนับเลยมากกว่า

บายาวีเปรียบเสมือนแกงเผ็ดหม้อใหญ่ (จะแกงไตปลาหรือแกงเหลืองก็แล้วแต่ชอบ) เคยไหมกินเผ็ดจนปากเจ็บแต่ก็เลิกกินไม่ได้เพราะอร่อยแม้จะทรมาน นั่นล่ะคือคำจำกัดความของบายาวีเลย มันเผ็ดร้อนทั้งพล็อต(ว่าด้วยเรื่องการหลอกลวง แก้แค้น) และเผ็ดทั้งบทพูดของตัวละครด้วยลักษณะนิสัย คุณจะพบว่าเวลาผ่านไปไวมากในการอ่านนิยายเรื่องนี้ของคุณลลนล คือเราก็เคยอ่านงานของคุณลลนลมาหลายเล่มแล้วนะ แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าหน้ามันพร่องไปไวขนาดนี้ จำนวนหน้าช่างน้อยเหลือเกินเผลอแป๊บเดียว อ้าว! จบแล้วเหรอ อย่าเพิ่งซิ ยังไม่สะใจเลย นั่นคือความรู้สึกที่คุณจะได้จากการอ่านบายาวี มันวางไม่ลงถึงขั้นนั้นจริงๆ เราคอนเฟิร์ม

แต่! ใช่ค่ะมีแต่ บายาวีมีข้อเสียบางประการที่ทำให้เราไม่สามารถรักมันได้เต็มๆ ขอย้อนเล็กน้อย ถ้าจำกันได้ในเอ็นทรี่ก่อนเราเคยบอกไปแล้วว่าเราไม่ชอบตัวละครประเภทที่ 'ชอบดูถูก(ดูแคลน)คนอื่น' อ่านประโยคนี้ดีๆ นะคะ มันต่างกันมากกับตัวละครที่ปากไม่ดี (หรือปากหมานั่นเอง) เราไม่ได้เกลียดคนปากมอม จะว่าไปตัวละครตัวหนึ่งที่เราแทบจะเรียกได้ว่าหลงรักนั่นก็คือนายแพทย์เกรกอรี เฮาส์ หรือหมอเฮ้าส์ นักบุญปากร้ายแห่งซีรี่ส์ House M.D. นั่นเอง เราไม่มีปัญหากับคนที่ปากโฮ่งๆ ถ้าจิตใจคนๆ นั้นดี 

เขียนมาถึงขนาดนี้บางคนคงตกใจว่ามีตัวละครไหนในเรื่องบายาวีที่จิตใจเลวงั้นเหรอ ที่จริงมันก็ไม่มีหรอกค่ะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เพียงแต่จากการติดตามอ่านมาจนถึงภาค 2 เราก็ยังหาข้อที่จะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอกเจ้าของรีสอร์ทอย่างใบบุญไม่ได้เลยสักกระพีกเดียว คือ ขอโทษนะ แต่แค่สวยมันไม่ได้ทำให้เรามองคนๆ นั้นเหนือคนได้หรอก เราไม่ได้หลงหรือประทับใจใครที่รูปกายภายนอก (มันก็มีบ้าง แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก) ถ้าเราจะประทับใจใครส่วนใหญ่ต้องมาจากข้างใน มาจากความคิด ทัศนคติมากกว่า ซึ่งสำหรับเราใบบุญสอบตกในแทบทุกด้าน บางครั้งก็งงว่าทำไมทุกคนถึงได้หลงเธอกันหมด ถ้าเพราะแค่ความสวยอย่างเดียวมันดูไม่เมคเซนส์เลย

ที่จริงตัวละครประเภทปากอย่างใจอย่าง แข็งนอกอ่อนในถือว่ามีเสน่ห์ โดยเฉพาะเรื่องรักๆ เนี่ยนางเอกส่วนใหญ่ก็จะมีลักษณะนี้ แต่มันต้องอยู่ในขอบเขตที่จะไม่เลยเส้นคำว่า 'งี่เง่า' คือใบบุญมีลักษณะคล้ายสาวซึน แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ไร้เหตุผล+งี่เง่าและน่ารำคาญกว่า มันคงจะดีกว่าถ้าใครในเรื่องจะกล้าหือกับเธอมากกว่านี้ อาจจะทอนความน่ารำคาญเธอลดลงได้ เสียดายที่ไม่มี เธอเลยดูเป็นคนที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย เขียนมาขนาดนี้แฟนคลับใบบุญอาจไม่พอใจ ซึ่งจุดนี้มันก็คงจะแล้วแต่รสนิยมของแต่ละคนนะคะ คุณมีสิทธิ์ชอบเหมือนที่เรามีสิทธิ์เกลียด 1 คน 1 สิทธิ์นะคะ ที่จริงเราออกจะสงสารเธอด้วยซ้ำที่มาทำให้เราไม่ชอบหน้าได้ขนาดนี้ อันนี้ก็ต้องชมคนแต่งที่แต่งให้เราอินจัดมาก จะว่ากันตามจริงเราชอบใบบุญภาคแรกมากกว่าภาค 2 นะ ภาคแรกยังมีมุมที่เรารู้สึกว่าเธอก็น่ารักและรู้ถึงความงี่เง่าของตัวเองมากกว่าภาค 2 ที่เกินไปในหลายจุด ต้องรอดูว่าภาค 3 เธอจะทำให้เรารักได้เสียทีไหม

อีกทั้งเราพบว่าตัวละครอื่นๆ หลายครั้งก็ทำตัวงี่เง่าไม่ต่างกัน อ่านไปบางครั้งก็เหนื่อยนะ จะงี่เง่ากันไปถึงไหน ไม่ว่าจะเป็นหลานสาวใบบุญบัวตองหรือฤชุดานักเขียนนางเอกของเราก็เถอะ ถ้าจะให้พูดตรงๆ แล้วตัวละครที่เราดูจะประทับใจมากที่สุดเห็นจะเป็นภูชิตาในภาค 2 เธอไม่ใช่คนดีอะไรนะ เธอก็สั้นๆ ห้วนๆ แต่เราว่าเธอตรงๆ ดีน่ะ และงี่เง่าในระดับที่เรารับได้ (อันนี้ต้องรออ่านภาค 3 อีกที) ถึงเราจะบ่นเยอะแต่เราก็ไม่ได้เลิกอ่าน จะให้พูดตรงๆ ก็คือมันน้ำเน่าแต่สนุกนั่นเอง เป็น guilty pleasure ส่วนตัวของเรา ยกไว้ให้เรื่องหนึ่ง (นี่ชมนะคะ) 

ข้อเสียอีกข้อคือ เราพบว่าการใช้ภาษานั้นค่อนข้างทำขัดใจเราพอสมควร ที่จริงไม่ใช่แค่บายาวีนะ (ตอนอ่านมนต์รักหัวใจลูกทุ่งเราก็รู้สึก) คือเราไม่ชอบสรรพนามการใช้เรียกคนอื่นแบบหยาบๆ ไม่ว่าจะเป็นคนใช้ คนงาน ลูกจ้าง คนอ้วน คนหน้าตาไม่ดี หรือคนไม่ค่อยฉลาด ที่ใช้เรียกแบบจิกๆ ตลกโปกฮา เหยียดๆ แกมดูถูก เข้าใจว่ามันเป็นตัวละครแต่จุดนี้อ่านไปก็กุมขมับไป ทำให้ยิ้มไม่ออกอยู่หลายครั้ง ก็ไม่ใช่ว่าจะมาเรียกร้องความเท่าเทียมของมนุษย์ผ่านนิยายหรือว่าอะไร แค่เพียงเราพบว่ามันทำให้เราอึดอัดเวลาอ่านมากๆ

แต่บายาวีก็มีข้อดีตรงที่มันแรง ดิบ และสะใจ อาจเหมาะกับสาวกฮาร์ดคอร์? ที่ต้องการเรื่องรักประเภทพ่อแง่แม่งอนแบบรักแรงหึงแรงเวอร์ชั่นยูริ บทจะงอนก็งอนกันโลกจะแตก บทจะดีกันก็หวานจนนางพญามดเรียกหม่อมแม่ได้เลยประมาณนั้น แต่ด้วยทั้งหมดทั้งมวลที่เราชม+เน้นไปทางติมาขนาดนี้เราก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะว่าบายาวีเป็นนิยายที่อ่านได้สนุกมากเรื่องหนึ่ง อินได้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง จะยิ่งสนุกมากถ้าคุณไม่คิดเยอะจนเกินไปแบบเรา และที่สำคัญคงปฏิเสธไม่ได้แน่ว่าคุณลลนลเธอเป็นนักเขียนที่ใช้ภาษาได้ลื่น สละสลวย น่าอ่านสุดๆ คนหนึ่ง

ป.ล. ปกภาคแรกอยู่ในขั้นสอบผ่านเท่านั้น แต่ปกภาคสองเรียกได้ว่าเป็นปกของคัมออนที่เราชอบมากที่สุด พอๆ กับเรื่องลมลวงรักของมะบุงก็ว่าได้ และเราว่ามันเข้ากันกับเรื่องบายาวีเสียจริงๆ อ้อ! อยากจะบอกว่าทุกครั้งที่วิจารณ์ปกเนี่ยที่จริงก็แค่บ่นๆ ชมๆ ไม่เคยให้คะแนนปกด้วยหรอกนะคะ คือต่อให้ปกเป็นลายมือไก่เขี่ย แต่ถ้าเนื้อเรื่องดีสนุกเราก็ให้เต็ม 10 ได้ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าคะแนนรวมปกไปด้วยซะอีก บังเอิญเราถือคติ don't judge a book by its cover น่ะ


คะแนน ภาค 1 8/10
คะแนน ภาค 2 7.5/10

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ใกล้...เข้ามาอีกนิด by แมงมุม นิยายรัก(ขำขัน)ที่เจือประเด็นทางสังคมได้อย่างน่าขบคิด


สนพ.สะพาน

วันนี้จะมารีวิวนิยายเรื่อง ใกล้...เข้ามาอีกนิด ซึ่งเขียนโดยคุณ แมงมุม ถือเป็นนิยายไทย(ยูริ)เรื่องแรกที่เราจะรีวิวเลยนะเนี่ย ตื่นเต้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นนิยายไทย(ยูริ)เรื่องแรกที่อ่านแต่อย่างใด ที่จริงจะว่าไป เราเพิ่งจะหันมาอ่านงานของสนพ.สะพาน ก็ไม่นานมานี้เองค่ะ ก่อนหน้านี้นิยายยูริเกือบทั้งหมดเรามักจะอ่านของสนพ. come-on มากกว่า จะว่าไปแล้วก็ไม่อยากแยกสำนักพิมพ์หรอกค่ะ เพราะที่จริงเราก็มักติดตามมาจากเวบบอร์ด ทั้งปิงฟ้า เด็กดี และคัมออนเองตามสมควร (แต่อาจจะค่อนไปทางสองเวบหลัง) ก่อนนิยายเหล่านั้นจะได้ตีพิมพ์เสียมากกว่า จะเจาะจงแยกสนพ.ก็ไม่น่าจะถูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้นะที่เรารู้สึกว่างานของสนพ.สะพานออกจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าในบางครั้ง หรือ ออกจะเจาะกลุ่มที่เป็น niche market หรือตลาดเฉพาะกลุ่มของกลุ่มที่อ่านยูริอีกที งงไหม? ฮ่าฮ่า คนรีวิวก็งงเอง

สังคมนักอ่านนิยายยูริในบ้านเราก็ใช่ว่าจะกว้าง แล้วจะมีอะไรที่มันเฉพาะลงไปอีก มันก็จริงค่ะ แต่ด้วยความที่สนพ.สะพานนั้นมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนในประเด็นทางสังคมต่างๆ มากกว่าด้วยล่ะมั้งคะ ถึงทำให้เรารู้สึกว่างานของสนพ.นี้จะมีประเด็นทางสังคมเจือผสมมาในนิยายด้วยไม่มากก็น้อย ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องรักกุ๊กกิ๊กเท่านั้น ซึ่งเราก็ไม่ได้บอกว่าคัมออนผิดนะคะ เราเข้าใจว่ากลุ่มลูกค้าน่าจะคนละกลุ่มกัน อย่างน้อยๆ หนึ่งในปัจจัยนั้นก็อายุ เพราะเราแก่แล้ว แหะ แหะ ^^"

เราไม่เคยอ่านงานเขียนของคุณแมงมุมมาก่อน แต่หลังจากอ่านเรื่องนี้จบเราแน่ใจว่าจะต้องไปหาเล่มอื่นมาอ่านแน่ๆ นั่นเพราะงานเขียนของคุณแมงมุมให้อะไรเรามากกว่าแค่เรื่องราวความรักระหว่างคนสองคน มันมีประเด็นอื่นๆ ที่เราอยากเห็นมานานนนนนในนิยายไทย(โดยเฉพาะยูริ) แฝงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางสังคม การเมือง (ไม่ต้องตกใจไปค่ะ คนเขียนไม่ได้เอนเอียงที่จริงออกแนวปรองดองเสียด้วยซ้ำ สบายใจได้ว่าจะไม่มีกีฬาสี) วัฒนธรรมท้องถิ่น(ซึ่งในเรื่องนี้คืออีสาน) เราจะดีใจมากถ้านิยายมีพล็อตอะไรที่เราไม่คุ้นหรือรู้จัก ที่เรียกได้ว่าพอเราอ่านแล้วรู้สึกได้ความรู้ไปด้วย และ ใกล้...เข้ามาอีกนิด ก็ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวระหว่างคนข้างบ้านสองคนที่ช่างแตกต่างกัน ลำดวน กับ พลอยรพี แค่ชื่อตัวเอกเราก็อมยิ้มแล้ว เพราะเราก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครกล้าตั้งชื่อตัวเอกของนิยายตัวเองว่าลำดวนหรือเปล่า (แถมเธอมีน้องชายชื่อรำไทย!) แต่เราก็ชอบมันมากๆ ที่สำคัญไม่ใช่แค่นั้น อย่างที่คุณแมงมุมว่าไว้ ช่างเป็นนิยายสำนึกรักบ้านเกิดจริงๆ เพราะไม่ใช่แค่ชื่อแต่มันยังคล้องกับความตั้งใจที่ตั้งอีก มีเรื่องราวหลายอย่างกล่าวถึงบ้านเกิดลำดวน ให้เราได้ความรู้ไปด้วย ลำดวนเป็นลูกครึ่งสาวที่ราบสูง(ชัยภูมิ)กับเม็กซิกัน ส่วนพลอยรพีติดจะคุณหนูๆ ไฮโซไฮซ้อ เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นระหว่างขอบรั้วบ้าน ณ บ้านใกล้กรุง หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ณ กรุงเทพมหานคร เริ่มต้นด้วยความเข้าใจผิดของพลอยรพีที่คิดว่าลำดวนเป็นคนใช้ของคนข้างบ้าน ก็ไม่รู้เพราะความที่ลำดวนเป็นคนอีสานที่กำลังขุบจอบพรวนดินกรำเหงื่อหรืออย่างไร ทำให้พลอยรพีคิดอย่างนั้น แต่นั่นล่ะประเด็นที่เราคิดว่าคุณแมงมุมเธอเก่ง เธอหยิบจับประเด็นทางสังคมมาเล่นให้มันน่าสนใจได้ ประเด็นชนชั้นที่ถ้าคุณไม่ทำเป็นลับตามองหรือหลอกตัวเองก็จะเห็นในสังคมไทยนี้

เราอ่านนิยายเรื่องนี้อย่างมีความสุขมาก หนึ่งเพราะเป็นนิยายที่แต่งตลก แต่..บางทีอาจจะตลกเกินไป คนแต่งสาดมุขกระจัดกระจายเกือบจะทุกบรรทัด (เผลอๆ ไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัดด้วยมั้ง ฮ่ะฮ่ะ) และจะว่าไปมันก็อาจเป็นข้อเสียเดียวสำหรับเราก็ได้มั้ง เพราะบางครั้งเรารู้สึกว่ามันเฝือจนเกินไป หมายถึง เล่นมุขเยอะไปจนไปทำลายอรรถรสที่เรากำลังจะซาบซึ้ง หรือ กำลังจะเศร้า อาจเพราะชินกับการอ่านเรื่องหนักๆ มาด้วย พออ่านเรื่องนี้ก็เลยปรับตัวไม่ค่อยถูก (จะว่าไปก็เพิ่งจะเคยเจอคนแต่งนิยายรักที่มันตลกบริโภคได้ขนาดนี้เป็นครั้งแรก) ถ้าลดมุกลงได้สัก 30% เรื่องนี้จะชนะเลิศมาก

อย่างที่สองที่ชอบมากๆ คือ ตัวละครไม่งี่เง่า ใช่ค่ะถูกต้องแล้ว เรารู้สึกว่าตัวละครเรื่องนี้ไม่งี่เง่า เวลาเราอ่านเรื่องรักๆ เนี่ยเราอดจะคิดไม่ได้เลยว่าตัวละครทำไมชอบทำตัวงี่เง่ากันเสียจริง โดยเฉพาะตัวละครประเภทแสนดีชอบเสียสละทำเพื่อคนอื่น รักเอง เจ็บเอง ช้ำเอง คือ..มันน่าจะมีอะไรแตกต่างได้บ้าง ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำได้ ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้จะสุขีสโมสรไม่ทุกข์ไม่ร้อนหรอกนะคะ มันก็มีปมให้เราได้ตามลุ้นเหมือนเรื่องอื่นๆ แต่ว่าอย่างที่ย้ำ ตัวละครไม่งี่เง่า ตัวเอกอย่างลำดวนเราไม่เคยเจอค่ะ ลำดวนบริสุทธิ์สำหรับเรา ตรงที่จริงใจ ไม่มีมารยา แต่ก็ไม่ใช่แม่พระ เธอก็เป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างเราๆ นี่ล่ะ และเราชอบความใจเย็นของลำดวน

ส่วนพลอยรพี เริ่มแรกมาเราก็เกลียดหน้าเธอเลย ฮ่าฮ่าฮ่า คือเราไม่ชอบคนที่ดูถูกคนอื่นน่ะ แต่เมื่ออ่านๆ ไป เราก็พอจะเข้าใจในมุมมองของเธอมากขึ้น และพลอยรพีทำให้เราหันมามองสังคมในความเป็นจริงด้วย เธอคล้ายๆ ตัวแทนของคนกลุ่มหนึ่งที่มีจริงในสังคม ในชั่วขณะหนึ่งเราต่างเป็นคล้ายพลอยรพีกันไม่มากก็น้อย คือการตัดสินพิพากษาคนจากที่เปลือกหุ้มภายนอกนั่นเอง เธอช่างแตกต่างจากลำดวนอย่างหน้ามือเป็นหลังเท้าเสียจริง ตัวละครเรื่องนี้ไม่ค่อยเอะอ่ะโวยวาย บทจะเข้มจะดุจะฟาดฟันก็ทำกันเงียบๆ ทำคนอ่านลุ้นดีเหมือนกัน

นอกจากนั้นตัวละครอื่นๆ ก็มีมิติในตัวเอง มีชีวิตชีวา น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ใช่เป็นประเภท ชั่วได้อย่างเดียว หรือ ดีเป็นอย่างเดียว ดูทื่อๆ เรื่องนี้ไม่เป็นแบบนั้นเลย แต่ละตัวดูมีชีวิตจิตใจ มีหนทาง มีการตัดสินใจได้เป็นตัวเอง ไม่ทุกข์เว่อร์ หรือ สุขเวอร์ ดูพอดีๆ แบบมนุษย์จริงๆ ที่ชอบอย่างที่สามคือภาษาที่ใช้ เรารู้สึกสบายใจที่ได้อ่านภาษาแบบนี้นะ (ถ้าไม่ติดว่าสาดมุขเยอะเกินไปหน่อย) ชอบจังหวะการดำเนินเรื่องมันไม่รีบร้อนหรือช้าจนเกินไป เขียนได้ลื่นดีมาก และยังได้ความรู้เรื่องต้นไม้อีก เพราะลำดวนเป็นคนรับใช้ เป็นคนสวนไงคะ เย้ย! ไม่ใช่ เป็นอะไรก็คงต้องไปอ่านกันเอง

ข้อเสียอีกข้อนอกจากที่สาดมุกเยอะเกินก็คือ conflict ที่แม้จะวางมาได้อย่างน่าสนใจในตอนต้น แต่กลับไม่เล่นให้สมกับที่วางเอาไว้ แต่ก็เข้าใจล่ะ นี่มันนิยายรัก ไม่ใช่จะเข้าชิงรางวัลซีไรท์ ถึงจะได้ต้องพูดอะไรให้มันหนักขนาดนั้น ก็โอเค เก็ตอยู่ แต่ก็แอบผิดหวัง เราอยากเห็นประเด็นทางสังคมเยอะกว่านี้ ลึกกว่านี้ อันนี้มันดูเหมือนในท้ายที่สุดปัญหาก็ไม่ได้ถูกหยิบมาพูดจริงๆ เหมือนว่าหยิบขึ้นมาแตะให้เห็นว่ากำลังจะพูดนะ แล้วก็วางลงไปอย่างน่าเสียดาย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรื่องรักเรื่องนี้น่าสนใจน้อยลงหรอกค่ะ เพียงแค่เราคงคาดหวังมากไปน่ะ นานๆ จะเห็นนิยายยูริไทยหยิบประเด็นทางสังคมมาเล่นบ้าง

สรุปคือ เป็นนิยายที่เราอ่านแล้วยิ้มเยอะมาก ตั้งแต่ต้นจนจบ เผลอหัวเราะออกมาอีกตั้งหลายพรืด นานๆ จะได้เจอนิยายที่อ่านแล้วไม่เครียด ไม่เบื่อความงี่เง่าของตัวละครแบบนี้ก็อยากสนับสนุนให้คนซื้องานของคุณแมงมุมอ่านเยอะๆ จัง โอ๊ย ชอบๆๆๆๆ ที่สำคัญ เรื่องนี้แทบไม่มีอะไรที่มันอีโรติกเอาเสียเลย หมายถึงฉากหวานกุ๊กกิ๊กก็หวานจริงหวานจัง คือถ้าคุณจะหาอะไรที่มันเร่าร้อนเห็นทีคงผิดหวังนะคะ เรายังผิดหวังเลย เย้ย! ไม่ใช่ ฮ่ะฮ่ะ เรื่องนี้ให้คุณแบบนั้นไม่ได้แน่ แต่ถ้าอยากได้อะไรที่กลมกล่อม กำลังดี ตลกเยอะหน่อย และมีอะไรมากกว่าแค่เพียงความรัก เราอยากให้คุณลองหาอ่านดู (หรืออ่านได้ที่ เวบคัมออน ค่ะ)

ป.ล. ชอบปกจัง เราชอบปกของสนพ.สะพานมากกว่าของ สนพ.คัมออนนะ ทั้งที่ดูเรียบงายแท้ๆ คงประมาณว่า simple is the best นะคะ ที่สำคัญพกไปไหนได้อย่างสบายใจ ฮ่าฮ่า ก็แหม ถ้าให้พกปกที่มีรูปผู้หญิงสองคนไปอ่านไหนต่อไหน คนก็มองดิคะ ปกของสนพ.สะพานถือว่าช่วยได้เยอะ อิอิ แต่ถึงชอบแค่ไหนก็อดจะติไม่ได้ว่าปกนี้ไม่ค่อยเข้ากับเนื้อเรื่องเท่าไหร่

คะแนน 8.5/10 (เราตัดคะแนนโหดไปไหม แหม ไม่อยากจะบอก มีนิยายยูริ(ไทย)ไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่เราให้เกิน 8 คะแนน และไว้จะมารีวิวนิยายเรื่องอื่นๆ ต่อไปค่ะ)

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Aoi Hana (Sweet Blue Flower) อนิเมะหวานอมเศร้าที่อยากแนะนำ



วันนี้จะมาแนะนำอนิเมะเรื่อง Aoi Hana หรือ Sweet Blue Flowers เป็นเมะที่สร้างมาจากมังงะผลงานอาจารย์ Takako Shimura ซึ่งยังไม่จบ (ติดตามได้ที่ lililicious ตอนนี้ไป 6 Volume กว่าแล้ว) จริงๆ จะอ่านหรือดูก่อนก็ได้ทั้งนั้นนะคะ ส่วนตัวเราเองก็มีโอกาสได้ดูก่อน และด้วยความประทับใจมากเราจึงไปตามหามาอ่าน ทั้งที่เราเป็นคนไม่ชอบอ่านอะไรที่มันยังไม่จบ ด้วยว่าขี้เกียจรออะไรนานๆ ให้ค้างคา เราชอบอะไรที่มันเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว แต่เรื่องนี้มันดึงดูดมากจนต้องยอมตามอ่านในที่สุด และก็ไม่ผิดหวัง เพราะเผลอๆ เราชอบเวอร์ชั่นมังงะมากกว่าเสียอีก แต่เอาล่ะมาเข้าเรื่องในส่วนของอนิเมะกันก่อนดีกว่า

Aoi Hana หรือ Sweet Blue Flowers เป็นเรื่องราวของกลุ่มเด็กหญิงมัธยมปลายโดยโฟกัสไปที่ตัวละครหลักคือ ฟูมิ มันโจเมะ และ อากิระ โอกุไดระ อีกเหตุผลหนึ่งที่เราชอบเรื่องนี้คือตรงที่ผู้เขียนจับเอากลุ่มนักเรียนมัธยมปลายธรรมด๊าธรรมดามาดำเนินเรื่อง เรื่องรักหลายเรื่องจะเล่นประเด็นทางชนชั้น ลูกนักการฑูตบ้างล่ะ เจ้าของธุรกิจใหญ่บ้างล่ะ คือบางครั้งก็อดสงสัยว่าเรื่องรักของคนธรรมดาไม่ว่าจะเป็นชนชั้นกลางหรือระหว่างชนชั้นกรรมมาชีพมันไม่น่าสนใจจนพอจะจับมาทำเป็นเรื่องราวเชียวหรือ ซึ่งเราเข้าใจเองว่าน่าจะเพราะมันเขียนยากกว่ามากกว่าหรือเปล่า แต่เมะ(หรือมังงะ)เรื่องนี้หยิบเอาคนธรรมดามาเขียน ที่จริงมันเป็นเรื่องของประเด็นโครงสร้างทางสังคมแต่ก็กลัวจะเครียดกันไปก่อน เอาเป็นเข้าเรื่องเลยดีกว่า ^^"












ภาพด้านบนเป็นเวอร์ชั่นตัวละครภาพสีน้ำกับแบบเวอร์ชั่นอนิเมะ ฟูมิ(คนตัวสูงใส่แว่น)ออกจะเป็นคนขี้อาย และขี้แย เซนซิทีฟโดยเฉพาะกับเรื่องความรัก ในขณะที่อาจัง (ชื่อเล่นอากิระ) จะเป็นคนเข้มแข็ง และหัวใว ร่าเริง ทั้งสองเคยเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเด็ก แต่ว่าฟูมิย้ายบ้านไปก่อนจะกลับมาเมืองเกิดเมื่อผ่านไป 10 ปีแล้ว ทำให้มาเจอกันอีกครั้ง ซึ่งในตอนแรกทั้งสองจำกันไม่ได้ เพราะฟูมิสูงขึ้นกว่าเดิมมาก (สมัยก่อนอากิระสูงกว่า) และเมื่อกลับมาพบกันอีกครั้งมิตรภาพในอดีตก็กลับคืนมาอีกหน แม้จะอยู่คนละโรงเรียนกันแต่ในตอนเช้าทั้งคู่ต่างก็ขึ้นรถไฟไปโรงเรียนพร้อมกันเสมอ

ถ้าคาดหวังจะได้เห็นรักหวานแหววของทั้งฟูมิและอากิระคุณก็คงอาจผิดหวัง เพราะเรื่องราวโดยทั่วไปนั้นจะเกี่ยวกับฟูมิที่มีความรักที่มักไม่ราบลื่นอยู่เสมอ (แน่นอนว่ากับผู้หญิงและเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่อากิระ) ต้องอย่าลืมว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกัน ส่วนอากิระก็ทำหน้าที่เพื่อนที่ดีเสมอเช่นกัน คือคอยให้คำปรึกษาและเป็นกำลังใจให้ฟูมิตลอด อีกฝ่ายขี้แยอีกคนก็คอยปกป้องให้กำลังใจ ในขณะที่โฟกัสไปที่ตัวละครสองตัวนี้ก็มีตัวละครอีกหลายตัวที่มีบทบาทมากเช่นกัน โดยเฉพาะยิ่งในมังงะจะยิ่งเห็นว่าแทบจะมีบทบาทพอๆ กับตัวเอกทั้งสองเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเคียวโกะ อิคุมิเพื่อนชั้นเดียวกับอากิระ หรือ ยาสึโกะ ซูกิโมโตะ รุ่นพี่สาวหล่อชั้นปีสุดท้ายโรงเรียนเดียวกับฟูมิ ที่มีแต่สาวๆ มารุมชอบรวมถึงฟูมิเองด้วย



เมะเรื่องนี้ดำเนินไปอย่างช้าๆ ด้วยโทนภาพสีน้ำ (ดูตัวอย่างภาพบน) ที่เลยอาจจะทำให้ดูช้าเนิบเข้าไปใหญ่ มันไม่มี conflict อะไรที่ชัดเจนจนทำให้ได้ลุ้นนั่งไม่ติด ถ้าคาดหวังจะเห็นอะไรดราม๊าดราม่าฟาดฟันกันเต็มที่ก็ผิดหวังได้เลย แต่ conflict ของเรื่องนี้สำหรับเรามันอยู่ภายในจิตใจของตัวละครแต่ละตัวต่างหาก ความรักที่มีอุปสรรคต่างๆ นาๆ การแอบรักข้างเดียว หรือความไม่สมหวัง คลื่นอารมณ์ต่างๆ มันพาดโยงเกี่ยวกันไปมาให้เรื่องราวซับซ้อนทั้งที่ดูเย็นสบายและเงียบสงบที่ฉากผิวหน้า ซึ่งก็ถือว่ามันลึกในแง่ของการพัฒนาตัวละครให้เราร่วมติดตามต่อไป เวอร์ชั่นอนิเมะมีทั้งหมด 11 ตอนจบ ซึ่งตอบจบก็ถือว่าทำได้ดีระดับหนึ่ง แม้จะเร่งรัดไปนิดหน่อย (จะไม่สปอยด์นะ) ใจจริงอยากให้ทำภาค 2 ตามมาแต่ว่าอาจจะยากด้วยเพราะมันอาจไม่ดังเปรี้ยงปร้าง สำหรับเราอนิเมะเรื่องนี้คล้ายผลงานศิปละชั้นดีเลยทีเดียวค่ะ ทำให้คนเสพก็เสพแบบจำกัดเฉพาะกลุ่มตามไป ด้วยการวาดที่บรรจงใส่ใจ การใช้โทนสี เพลงประกอบ เราประทับใจแทบทุกอย่าง

และที่สำคัญเนื้อหาในอนิเมะก็ดำเนินได้ไม่ไกลนักจากในมังงะ อย่างที่บอกว่ามังงะไปไกลมากแล้ว ปัจจุบันก็ 40 กว่าตอนแล้ว ส่วนตัวเมะนั้นไม่ถึง 10 ตอนด้วยซ้ำ อีกอย่างอนิเมะเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะยูริทั้งหมดไปเสียทีเดียว คือมันพูดถึงความรักที่มนุษย์มีต่อกันมากกว่าจะพูดถึงความรักของหญิงสาวที่มีต่อกันอะไรแบบนั้น ทำให้มีมันมีมิติให้เราขบคิด เรียนรู้ร่วมกับตัวละครไปได้ จนเรารู้สึกได้ว่าตัวละครแต่ละตัวมีชีวิตจริงๆ และส่วนตัวแล้วเราชอบตัวละครอย่าง อาจัง หรือ อากิระ มากๆ เราว่าเป็นตัวละครที่โคตรจะบริสุทธิ์เท่าที่เราเคยเจอมาเลยก็ว่าได้ คือไม่ใช่บริสุทธิ์ในความหมายที่ว่าเรียบร้อยดังผ้าพับไว้ หรืออะไรทำนองนั้น แต่หมายถึงความตรงไปตรงมาเหมือนเด็กๆ มากกว่าค่ะ ที่จริงอาจังค่อนข้างจะมีนิสัยแมนๆ เกินรูปลักษณ์ภายนอกเสียด้วยซ้ำ ฮ่าฮ่า



คะแนน 8/10 (แต่ถ้าเป็นมังงะเราให้ 9/10 นะ ส่วนหนึ่งก็เพราะมันมีรายละเอียดที่เยอะกว่าในเมะและไปไกลกว่ามากแล้วก็เป็นได้) 

เรื่องนี้ยังไม่มีลิขสิทธิ์จึงสามารถหาโหลด sub ไทยมาดูได้ที่เวบ lily-school ยังไงก็คอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้คนแปลกันหน่อยค่ะ

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Kyss Mig หนัง(รัก)สัญชาติสวีเดนที่ลึกกว่าที่คิด

ใบปิดหนัง

วันนี้จะมาแนะนำหนังเรื่อง KYSS MIG หรือที่แปลว่า KISS ME ในภาษาอังกฤษ เป็นหนังสัญชาติสวีเดนที่แม้จะเป็นหนังรักแต่ก็มีมุมมองหลายอย่างลึกกว่าที่คุณจะคาดคิด จะว่าไปนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเราที่ได้ดูหนังจากสวีเดน ก่อนหน้านี้ก็มีโอกาสได้ดูมาบ้างและที่ประทับตรึงจิตก็มีเรื่อง let the right one in เป็นหนังแวมไพร์อินดี้(เค้าว่างั้น) ถ้าใครเป็นแฟน twilight แม้หนังสองเรื่องนี้มีจะมี theme เป็นแวมไพร์เหมือนกันแต่เนื้อหาก็ต่างกันสุดขั้ว อีกเรื่องที่ประทับใจไม่แพ้กันก็คือหนังไตรภาคชื่อดังที่สร้างจากนวนิยายสืบสวนในซีรี่ส์ Millenium ของนักเขียนชาวสวีดิช สติ๊ก ลาร์สัน (Stieg Larsson) ที่แม้จะเสียชีวิตไปแล้วแต่ก็ได้ทิ้งผลงานปลายปากกาชั้นมาสเตอร์พีซให้แฟนนักอ่านทั่วโลกได้สัมผัส (ล่าสุดทราบมาว่าหนังสือชุดไตรภาคมียอดจำหน่ายทั่วโลกไปแล้วกว่า 60 ล้านเล่ม!) entry ต่อๆ ไปเราคิดว่าจะต้องพูดถึงตัวเอกที่เราสุดจะประทับใจอย่าง ลิสเบธ ซาลันเดอร์ แน่ๆ แต่เดี๋ยวกลัวจะงงกันไปเสียก่อนมาต่อกันที่หนังเรื่อง KYSS MIG กันดีกว่า

trailers

ลง trailer ไว้สองตัวนะคะ ตัวแรกเป็นทำใหม่มี sub eng ให้พอเข้าใจ plot คร่าวๆ ตัวที่สองเป็นตัวดั้งเดิมไม่มี sub ยังไงลองไปยลกันได้ มาเข้าสู่เนื้อหากัน KYSS MIG นั้นเป็นผลงานการเขียนบทและกำกับโดย Alexandra-Therese Keining เนื้อเรื่องนั้นเกี่ยวกับ มีอา (Mia) รับบทโดย Ruth Vega Fernandez หญิงสาวที่กำลังจะแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่คบกันมานานหลายปี ซึ่งเดินทางมาร่วมงานวันเกิดวัย 60 ปีของพ่อเธอ ซึ่งก็กำลังจะหมั้นหมายหลังดูใจกับคนรักใหม่อย่างอลิซาเบธ โดยที่อลิซาเบธเองก็มีลูกสาวหนึ่งคนคือ ฟรีด้า (Frida) รับบทโดย Liv Mjönes ซึ่งอีกไม่นานทั้งคู่ก็จะต้องกลายมาเป็นครอบครัวหรือพี่น้อง(ร่วมกฏหมาย)กัน ตัวมีอานั่นไม่ค่อยจะได้อยู่กับพ่อเช่นน้องชายอย่างออสก้ามากนัก เธอกับพ่อนั้นมีช่องว่างระหว่างกันอย่างเห็นได้ชัด มีอาเป็นเด็กเมืองที่ค่อนข้างไว้ตัว ต่างจากฟรีด้ามากที่เข้ากับคนง่าย ยิ้มง่าย และมีมนุษยสัมพันธ์ดีแจกจ่ายให้คนรอบข้างอยู่เสมอ ทำให้คนทั้งสองแตกต่างกันมากทางด้านลักษณะนิสัย

แต่ความรักมันก็เกิดได้กับมนุษย์ทุกคน ไม่เลือกหน้า ฐานะ เชื้อชาติ ศาสนา หรือเพศ เช่นเดียวกับมีอาและฟรีด้า หรือมันอาจจะเป็นความหลง ความไคร่ ความอยากรู้อยากลอง คุณคงต้องหาคำตอบจากในหนังเอง เราชอบประโยคหนึ่งมากๆ(ไม่ใช่จากในหนังนะคะ จากไหนไม่รู้จำไม่ได้จริงๆ ^^") ที่ว่า คุณเลือกคนที่คุณจะตกหลุมรักไม่ได้หรอก มันจริงอย่างที่สุด คุณก็แค่ตกหลุมรัก ก็แค่นั้น ถ้าเราเลือกคนที่จะตกหลุมรักได้โลกนี้คงไม่มีการอกหัก ความไม่สมหวังแล้วล่ะค่ะ คงมีแต่ความสุขขีสโมสรกันไปหมด

เราคงจะไม่สปอยด์เนื้อหาสำคัญหรือตอนจบ (เพียงแต่บอกได้ว่าเราชอบ) เราดูหนังเรื่องนี้ในหลายๆ อารมณ์ความรู้สึก ตัวหนังมีกลิ่นอายของ Imagine Me & You นิดๆ ด้วยความที่มันเกิดกับหญิงสาวที่กำลังจะแต่งงานและมีคนรักเป็นชายหนุ่มอยู่แล้ว (ต่างตรงราเชลนั้นเริ่มต้นเรื่องก็แต่งไปแล้ว) อีกทั้งคู่ราเชลกับลูซก็ดูแตกต่างจากมีอาและฟรีด้ามาก คือ KYSS MIG นั่นจะมีโทนหนังที่มืดๆ เศร้าส้อย เหงาหงอย ให้อารมณ์อึดอัดมากกว่า ขณะที่ Imagine Me & You นั้นจะมีโทนภาพที่สดใส สว่าง ร่าเริง กว่าเยอะมากกก เราชอบทั้งสองแบบนะคะ แต่ KM (ขอย่อนะ) จะมีความลึกและความกดดันในจิตใจของตัวละครมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แถมเราได้อ่านรีวิวจากบล็อกหนึ่งก็ว่าตัวหนังค่อนข้างจะสวีดิ๊ชสวีดิช นั่นคือจะเน้นการถ่าย close up ระยะใกล้ และใช้การแสดงสีหน้าของตัวละครในการเล่าเรื่องมากกว่าบทพูด ซึ่งเราว่ามันจริงอย่างที่สุด เพราะ KM นั้นมีบทพูดไม่มากเลยจริงๆ

ส่วนที่บอกว่าหนังเรื่องนี้ลึกก็คือ เราชอบความตรงไปตรงมาที่ตัวละครแสดงออก คือเราไม่ชอบโลกในแฟนตาซียูโทเปียที่มัน Happy สดใส ซาบซ่าไปเสียหมด เราว่าโลกแบบนั้นไม่มีจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นประเภทมาโซคิสที่ชอบอะไรเจ็บปวดรวดร้าวทรมานตัวเองให้สุข เราก็ไม่ใช่แบบนั้นนะ เราคงจะอยู่กับโลกความเป็นจริงที่มีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป มีคำพูดหนึ่งของฟรีด้าที่กินใจเรามากกกก เพราะเราว่ามันโคตรเรียลเลยอ่ะ (ขอถือวิสาสะสปอยด์ 1 ประโยคนะคะ) คือตอนพูดกับมีอาว่า "นี่มันสมจริงเกินไป หรือว่า โรแมนติกน้อยเกินไป"   บ่อยครั้งที่เวลาเราอ่านหนังสือหรือดูหนังรักเนี่ย เราพบว่าเนื้อหาหลายครั้งค่อนข้างไม่อยู่กับความจริง คือไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่อาจจะเพราะความจริงส่วนใหญ่มันไม่โรแมนติกไงคะ เราถึงได้จินตนาการให้เรื่องรักมันสุดจะโรแมนติก ทั้งที่ในชีวิตจริงเราต่างก็เป็นแค่มนุษย์เดินดินธรรมดาที่มีรัก โลภ โกรธ หลง มีกิลเส พอๆ กัน และต่างชำรุดหรือบกพร่องกันคนละจุดสองจุด ไม่มากก็น้อย

เราชอบหนังที่ตัวละครแสดงออกอย่างมนุษย์ปุถุชนมากกว่าจะแสดงออกอย่างนักบุญ(หรือปีศาจ) หมายถึงเวลาคุณเจ็บคุณก็สมควรจะโกรธเกรี้ยวได้บ้างตามสมควรแก่มนุษย์ คุณมีสิทธิ์ทำอะไรโง่ๆ ได้บ้าง คงไม่มีใครเกิดมาไม่เคยทำอะไรงี่เง่าเลยหรอกมั้ง (ถ้าเกิดมีจริงก็ขอชื่นชมค่ะ) หรือคุณอาจจะไม่จำเป็นต้องให้อภัยคนที่ทำให้คุณเจ็บ คุณมีสิทธิ์ที่จะรักหรือเกลียดได้ คือเราก็ไม่ได้บอกให้ไปฆ่าแกงกันแต่หมายถึงเราก็ประพฤติตนอย่างเหมาะสมในกรอบของกฏหมายได้ กฏหมายไม่ได้ห้ามให้เราเกลียดหรือรักใครนี่ เราไม่ได้บอกว่ามันดีหรือไม่ดี เพราะท้ายที่สุดมันก็ไม่ใช่กงการอะไรของเราที่จะตัดสิน นี่อาจเป็นส่วนที่ทำให้เราชอบหนังจากสวีเดน หลายเรื่องแล้วที่เราพบว่าหนังสัญชาตินี้เรียลและไม่ตัดสินคนกันที่เปลือก ไม่ตราหน้าคุณว่าคุณมันใจมาร ใจแคบ ทำไมไม่อย่างนั้นทำไมไม่อย่างนี้ และไม่ได้ดูที่แค่ที่สถานะทางสังคม แต่ให้เกียรติคุณในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีสิทธิ์ในชีวิตของตัวเอง อารมณ์ความรู้สึกของตัวคุณเอง เราหลงรัก KYSS MIG ตรงที่มันเรียลในความเป็นมนุษย์ที่สามารถ error บกพร่องและผิดพลาดกันได้ คุณทำพลาดได้เพราะความเป็นมนุษย์มันไม่เพอร์เฟ็คหรืองดงามหมดจดบริสุทธิ์ขนาดนั้น แต่คุณก็ต้องยอมรับที่จะเรียนรู้และรับผลตามมาของการกระทำนั้นๆ เช่นกันไม่ว่าทางร้ายหรือดี คุณมีสิทธิ์ที่จะรักหรือเกลียดและก็มีสิทธิ์ที่จะโดนรักหรือโดนเกลียดพอๆ กัน มันสุดจะ simple แค่นั้นจริงๆ

คะแนน 9/10 (ขอบอกว่านักแสดงสองสาวนั้นเคมีเข้ากันได้ดีแบบซุปเปอร์สปาร์คมากมาย)

ป.ล.ใครอยากดูหนังเรื่องนี้ก็ลองดูได้ที่ยูทูบนะคะ เห็นมีคนลงเป็น part ไว้แล้ว หรือลองค้นหาตาม google เอาได้ค่ะ (คงไม่ต้องบอกวิธีมั้ง) ภาพอาจไม่ค่อยชัดเพราะตัว DVD ยังไม่ออก ถ้าออกแล้วใครมีกำลังทรัพย์ก็อุดหนุนกันหน่อย แต่หนังค่อนข้างใหม่นะ กว่าจะได้ลิขสิทธิ์เป็นภาษาอังกฤษก็น่าจะสักพักล่ะ แต่เห็นว่าที่สวีเดนตัว DVD น่าจะออกตอนประมาณกลางธันวาคมปีนี้ ราคา 149 โครนาเทียบเป็น USD แล้วเป็นเงินบาทไทยก็น่าจะไม่เกิน 700 แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าค่าส่งจะมหาโหดแค่ไหน คงต้องดูตอนตัวหนังออกอีกที เพราะทราบมาว่า DVD เวอร์ชั่นสวีเดนจะไม่มี sub eng ด้วย อาจต้องรอตามข่าวกันต่อไป

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เปิดบล็อกรีวิวทุกอย่างที่เกี่ยวกับยูริ (นิยาย,หนัง,เมะ,มังงะ,etc)

อืม ไม่รู้จะเริ่มต้นแนะนำบล็อกยังไงดี เอาเป็นว่าบล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อสนองนีสส่วนตัวของตัวเองค่ะ ซึ่งก็คือการแชร์ความรู้สึกนึกคิดหลังจากได้เสพสื่อรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือ รูปภาพ หรือมีเดีย เกี่ยวกับยูริ แล้วยูริคืออะไร จริงๆ ลองค้นใน google ก็จะรู้ได้ทุกอย่างนะ หรือลองเข้าไปอ่านคำจำกัดความได้ที่ลิงค์ นี้ แต่ตอบตรงนี้ง่ายๆ สั้นๆ ยูริ มีความหมายถึง ความรักระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง ค่ะ ถ้าอยากได้ความหมายยาวๆ ก็อ่านได้จากลิงค์ก่อนหน้า เข้าเรื่องนะคะ จริงๆ บล็อกนี้ก็คือการรีวิว(แบบไม่เป็นทางการ) มีการตัดเกรดให้คะแนน(ตามความพอใจส่วนตัวเป็นที่ตั้ง) และอาจมีลงบทความหรือเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับยูริบ้างตามแต่ความสนใจ ณ ขณะนั้นๆ

และก็คงต้องขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า การรีวิวของเรานั้นก็ค่อนข้างจะตรงไปตรงมา ชอบไม่ชอบอะไรก็จะวิจารณ์ตรงๆ แต่ตัวเราเองก็ไม่ได้จบเอกวรรณคดี หรือ ภาษาศาสตร์ เอกภายนตร์ หรืออะไรหรอกนะคะ ดังนั้นก็คงจะไม่ได้วิจารณ์ตามหลักทฤษฎี ที่มีสาระอะไร อีกทั้งเราก็คงจะแต่งนิยายอย่างนักเขียนที่เราหยิบมาวิจารณ์ก็ไม่ได้อีก แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะวิจารณ์ไม่ได้ เหมือนกับที่ว่าคนจะวิจารณ์ภาพยนตร์ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นผู้กำกับคนดูก็วิจารณ์ได้ว่าชอบไม่ชอบอะไร คือสิ่งที่เราต้องการสื่อ

ซึ่งการที่ตัดสินใจเปิดบล็อกแห่งนี้เพื่ออยากจะวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่อ่าน/ดู ว่าชอบไม่ชอบอะไร และทำไมถึงไม่ชอบ ส่วนหนึ่งเพราะเห็นว่ายังไม่ค่อยมีใครทำ โดยเฉพาะในส่วนของนิยายนี่แทบจะหาคนวิจารณ์ไม่เจอเลย ส่วนใหญ่เจอแต่มังงะ อนิเมะ ไม่ก็หนังบ้าง

และออกตัวก่อนนะ เพราะบางครั้งสิ่งที่เราชอบคนอื่นก็อาจไม่ชอบ สิ่งที่คนอื่นชอบเราอาจไม่ชอบก็ได้ เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินรสนิยมของใครว่าดีหรือไม่ดี คนบางคนชอบกินแอปเปิ้ล แต่บางคนก็ชอบกินทุเรียน มันก็ง่ายๆ แค่นั้น ดังนั้นถ้าใครไม่เห็นด้วยก็วิจารณ์ในแบบที่ตัวเองคิด เราก็คงไปบังคับใครไม่ได้ เอาล่ะ ล้อฟรีพอแระ entry หน้าจะได้เริ่มรีวิวกันเสียที จะเป็นเรื่องอะไรนั้นก็ติดตามกันต่อไป

PS เราจะมีป้ายเตือนสปอยล์เนื้อหาทุกครั้งค่ะ ดังนั้นผู้อ่านก็ต้องรับความเสี่ยงที่จะเสียอรรถรสเองด้วยนะคะ เพราะเตือนแล้ว จะมาด่าเราทีหลังไม่ได้ อันนี้ก็คงต้องใช้วิจารณญาณก่อนอ่านตัดสินเองด้วยนะคะ