หน้าเว็บ

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

Review Fitting In by Robin Roseau [Yuri Novel]


สวัสดีค่ะ..โอ้ว หายหน้าหายตาไม่ได้มารีวิวตั้ง 1 ปีกะอีก 5 เดือน!! 

ถึงจะหายไปนานแต่ตลอดเวลาจริงๆ เราก็ติดตามทุกอย่างฝั่ง Yuri ตลอดนะคะ ทั้งหนัง/ซีรี่ส์/นิยาย เพียงแต่ไม่มีเวลามาโพสต์ หรือเอาง่ายๆ ก็ขี้เกียจนั่นละ อยากให้คำสัญญาเหมือนกันนะ ว่าจะมาอัพทุกอาทิตย์ หรือเดือนละกี่ครั้ง แต่รู้ว่าคงรักษาสัญญาไม่ได้แน่

วันนี้เราจะมารีวิว Novel เรื่องนึงที่เพิ่งอ่านจบเมื่อวาน เราประทับใจแบบว่า มว๊ากกกกกกกกกกกกก จนทนไม่ได้ มันแน่นอก ต้องยกออก อิอิ เลยขอมาเขียนรีวิวดีกว่า จริงๆ อยากบอกว่าช่วงหลังมา เราหันไปอ่านนิยาย novel/fiction ฝั่ง Eng มากกว่าเดิม หรือพูดได้เลยว่า ผันไปอ่านเต็มตัวแล้ว เพราะเราหานิยายไทย(Yuri/les) ที่ถูกจริตเราไม่ได้เลยง่ะ อีกทั้งนิยาย ENG มีตัวเลือกเยอะกว่าด้วย หรือเราแก่แล้วก็ไม่รู้ ใช่ๆ เพราะแก่แล้วแน่ๆ ฮ่ะฮ่ะ

โอเคค่ะ เข้าเรื่องกันเลย นิยายที่จะพูดถึงวันนี้คือเรื่อง Fitting In แต่งโดย Robin Roseau เล่มนี้มีเฉพาะเวอร์ชั่น Kindle นะคะ ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก อยากบอกว่าเกือบทุกเรื่องที่เราอ่าน มีแต่ Kindle Version เท่านั้น เหตุผล นิยายเลสหรือ Yuri มันไม่ใช่ตลาด Mass ไอ้จะให้พิมพ์ paperback ออกมาแบบ harry potter หาได้ทุกหัวมุมถนนก็เกรงจะไม่คุ้มทุนของสนพ แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ผู้เขียนที่มีความสามารถทั้งหลาย ก็หันมาขายผลงานตัวเองออนไลน์กันแทบทั้งนั้น ดีออก ขายตรง เอ้ย ไม่ใช่ (จริงๆ ก็ใช่นะ) ใน entry หน้าๆ เราจะมารีวิว kindle ด้วยเลยนะคะ สำหรับใครที่รักการอ่าน kindle คือสวรรค์บนมือดีๆ นี่เอง ข้อเสียเดียวคือ เปลืองตังค์ เพราะมันใช้/ซื้อง่ายม๊ากมาก คลิ๊กเดียวซื้อได้เลย(เงินยุบเลยเช่นกัน)

โอเคๆ เข้าเนื้อหากันเลยนะคะ Fitting In เป็นนิยายที่ว่าด้วยเรื่องราวของ Nicole โปรแกรมเมอร์วัย 33 ซึ่งมีอาการ CP หรือ Cerebral Palsy คลิ๊กเพื่อดูความหมายของอาการได้ที่ Wikipedia หรือเว็บไทยได้ที่ ตรงนี้ ชื่อของอาการอาจจะดูน่ากลัว แต่จริงๆ ลักษณะอาการจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกายมากกว่า และ Nicole ในเรื่องมีอาการะดับ mild หรือแบบอ่อน อีกทั้ง CP ไม่ได้ส่งผลต่อการทำงานของสมอง(ที่หมายถึงความฉลาดหรือไม่ฉลาด) แต่หลักๆ Nicole จะมีปัญหาในเรื่องของการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น วิ่งหรือเล่นกีฬาที่ต้องใช้ความเร็วไม่ได้(หรือได้ไม่เหมือนคนทั่วไป)

อ่านถึงตรงนี้คุณอาจจะคิดว่า โหว..เครียดไปไหมเนี่ย เปิดมานางเอกก็ป่วยเลย(จริงๆ มันไม่ใช่โรคนะ) เราอยากบอกว่า นิยายเรื่องนี้ไม่ได้เศร้าจมปลักกับข้อจำกัดทางร่างกายของผู้ที่มีอาการ CP แต่อย่างใด แต่นิยายเรื่องนี้กลับเต็มไปด้วย ความเคารพ การให้เกียรติ ความเข้าใจ และหนทางในการปรับตัวในการร่วมอยู่กันของทั้งคนที่ไม่ได้มีอาการและมีอาการต่างหาก นิยายเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการสื่อแค่คนที่มีอาการ CP แต่สื่อถึงคนที่อาจจะแตกต่างจากเราไม่ว่าจะในเรื่องใด และเราจะปรับตัวเข้าหากันยังไงที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งเขียนได้สละสลวย งดงามมากๆ เชื่อเถิดว่าอ่านจบคุณจะรู้สึกอบหุ่นในหัวใจมากมาย

Nicold พบ Alex ที่ปาร์ตี้ของเพื่อน ผู้หญิงที่แตกต่างจากเธออย่างสิ้นเชิง Alex มีลักษณะของนักกีฬา สูง ปราดเปรียว หน้าตาดี มีความมั่นใจในตนเอง(สูง) และเป็นที่สนใจทั้งหญิงและชาย พูดง่ายๆ Alex Perfect ในแทบทุกด้าน ตอนแรกเลยมันเริ่มจากโจ๊กขำๆ ของตัว Nicole เอง เมื่อ Alice เพื่อนสนิทที่รักกันมาก อยากให้เธอหาใครสักคนที่ตรงสเป็คที่งานเลี้ยงและเข้าไปทำความรู้จัก(ง่ายๆ ก็จีบนั่นแหละ) Nicole เคยผิดหวังกับความรักมาก่อน และเธอค่อนข้างมีกำแพงและปิดกันตัวเอง(มาก) แต่ด้วยความคิดเชิงประชด เลยเลือก Alex เพราะว่าไม่ว่าจะใครก็ทำให้เธอผิดหวังมาโดยตลอด ก็เลยเลือกคนที่มันสูงเกินเอื้อมไปเลยประมาณนั้น และจะได้ทำให้ Alice เลิกพยายามจับคู่เธอกับคนอื่นเสียที เรื่องกลับตาลปัตรตรง Alex สนใจในตัว Nicole สุดๆ 

ในตอนต้นเรื่องคุณจะยิ้มเยอะมาก กับความรักของคนทั้งคู่ ตอนจีบกันใหม่ๆ อ่านไปม้วนไป 555+ แรกๆ เลย Nicole ยังค่อนข้างปิดกั้นตัวเอง(สูง) เธอไม่เปิดรับ Alex และคิดว่า Alex สนใจในตัวเธอเพียงเพราะสงสารเท่านั้น ก็เลยยอมเล่นไปตามเกม เพราะไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้วนิ แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มซีเรียสจริงจัง Alex ต้องพิสูจน์ตัวเองพอสมควร เพราะ Nicole มีกำแพง(ใจ)ที่แข่งยังกะหิน! และเมื่อตกลงคบกัน อุปสรรคใหม่ก็เข้ามาในทันที ในทีนี้ก็คือ ครอบครัว Alex ซึ่งช่วงครึ่งหลังไป คุณจะเสียน้ำตาเยอะมากค่ะ (แต่ให้คิดไว้ว่าในตอนจบมันคุ้มค่าสุดๆ)

เราไม่อยากสปอยด์เนื้อหาช่วงกลางเรื่อง เพียงแต่อยากบอกว่ามันคือเหตุการณ์จำลองย้อยๆ ในสังคมเรานี่แหละ คนที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเป็น CP คุณจะโดนคน/กลุ่มคน/สังคม กีดกัน รังแก ถากถาง ในความไม่เข้าพวกของคุณ เราเชื่อว่าคุณจะเข้าใจความเจ็บปวดที่ Nicole ต้องเผชิญได้ไม่ยาก ครอบครัวของ Alex ปิดกั้น+ตั้งแง่กับ Nicole ก่อนที่จะพบ Nicole เสียอีก (แต่ไม่ใช่เพราะ CP นะ เพราะ Nicole ไม่ยอมบอกใคร ยกเว้น Alex และเพื่อนสนิท เหตุผลเพราะอะไรต้องลองอ่านดู) ฉากตอน Nicole โดนกลั่นแกล้งต่างๆ นาๆ แล้ว Alex ไม่เข้าใจแถมเข้าข้างครอบครัวตัวเองอีก ทำเอาเราโกรธ+เกลียด Alex ไปเลย

แต่หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นไป เป็นช่วงที่ Alex ต้องพิสูจน์ตัวเองครั้งใหญ่ แก้ไขในความผิดพลาด(ร้ายแรง)ที่เกิดขึ้น อยากบอกว่ามันสุดยอดและทรงพลังมาก ช่วงท้ายเรื่องนี่คือสารที่ผู้เขียนต้องการสื่อสำหรับนิยายเรื่องนี้ว่าคนเราแม้จะแตกต่างกันแค่ไหนก็ตาม แต่เราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ยังไง ไม่ยากหากเราเข้าใจ หรือพยายามเข้าใจ หรือทำให้ผู้อื่นเข้าใจ มันคือการปรับตัวเข้าหากัน

สิ่งที่เราประทับใจในนิยายเรื่องนี้คือตัวละครอย่าง Nicole แม้เธอจะมีอาการ CP แต่ Nicole ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ เธอพายเรือแคนนู แบกเป้ ตังค์แคมป์ ปีนเขา ว่ายน้ำ เดินป่า อาจจะทำทุกอย่างได้ไม่ไวเหมือนคนทั่วไป แต่ทำไมต้องแคร์? จะช้าจะไวสำคัญตรงไหน มาตราฐานใคร ไวในระดับความสามารถของตัวเราเอง แค่นั้นก็พอแล้ว เธอไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร ซึ่งเป็นสารสำคัญอีกข้อ ทำไมเราต้องสงสารคนที่มีอาการหรือความพิการ/บกพร่องทางร่างกาย? (สารภาพว่าตัวเราก็เป็น) ทำไมเวลาเราเห็นสมองรีบสั่งการให้สงสารก่อนเลย เรายังไม่รู้จักกันเลย ไม่ได้รู้เลยว่าเขาใช้ชีวิตยังไง ทำงานอะไร แต่เราก็ตั้งแง่ไปก่อนแล้วว่าชีวิตเขาคงลำบาก? น่าสงสารจัง? ทั้งที่ในความเป็นจริงเขา/เธอก็มีชีวิตเหมือนๆ กันกับเรา ดูแลตัวเอง/รับผิดชอบตัวเองได้เหมือนๆ กัน (เพียงแต่อาจจะในรูปแบบที่แตกต่างออกไป) คือเราไม่ได้หมายถึงว่าห้ามช่วยเหลือหรืออะไรนะ เราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าคนที่มีความบกพร่องในด้านร่างกายต้องการความเชื่อเหลือในยามจำเป็นอยู่แล้วค่ะ แต่ไม่ใช่ด้านจิตใจที่เขาไม่ได้ต้องการ ซึ่งนี้คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ (ย้ำอีกทีว่ารวมเรา) 

อีกข้อที่ประทับใจมากไม่แพ้กันคือ นิยายเรื่องนี้ ไม่ได้มองคนแค่ ขาว-ดำ ดี-เลว เท่านั้น มนุษย์เราไม่เพอร์เฟ็ค 100% เราอาจจะทำพลาดไป แต่เริ่มใหม่ได้ บางครั้งการทำอะไรบางอย่าง เกิดจากความไม่เข้าใจได้เช่นกัน มันอยู่ที่เราจะรับมือหลังจากความผิดพลาดเกิดไปแล้วยังไงต่างหาก คืออ่านจบมันมีหลายอารมณ์มาก เรารู้สึกเราเรียนรู้อะไรมากมายจากนิยายเรื่องนี้ การเคารพผู้อื่นที่แตกต่างจากเรา คำว่าแตกต่างจากเราไม่จำเป็นต้องหมายถึงทางกายภาพ แต่หมายถึงจุดยืน มุมมอง การตัดสินใจ หรืออะไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นอาจไม่ตรงใจเรา ไม่ถูกจริตเรา สรุป คุณไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล คนอื่นไม่ได้หมุนรอบตัวคุณ จบ 555+ (ง่ายไปไหม) สิ่งที่เขียนเป็นสิ่งที่ปฏิบัตได้ยากในชีวิตจริงมากค่ะ (รวมตัวเอง) เราทุกคนมักจะตัดสินใจอะไรไปก่อนอยู่แล้ว เป็นธรรมชาติอัตโนมัติ มันคงจะดีไม่น้อยเลยนะคะ หากเราเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน หันหน้าเข้าหากัน ปรับตัวเข้าหากัน การใช้ชีวิตร่วมกันมันคงราบลื่นและสุขกว่านี้มาก

วิจารณ์ปกตามธรรมเนียม หน้าปกเป็นรูปสนามหญ้ากับลูก Softball ดูแล้วอาจงงๆ นะคะ แต่มันคือฉากเหตุการณ์สำคัญของนิยายเรื่องนี้เลยค่ะ เราอาจจบแล้วจึงเข้าใจ ตอนแรกเลยไม่เข้าใจ+งงว่ามันเกี่ยวกับ Fitting In ยังไงหว่า แต่ถ้าคุณอ่านจบจะอมยิ้มเบาๆ เมื่อเห็นหน้าปก :)

ตัดเกรด 9/10

ถ้ามี kindle (และเป็นนักอ่านสาย Yuri) ซื้อมาอ่านเถิดไม่ผิดหวัง (คลิ๊กไป amazon โดยพลัน)

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

Last Friends J-series ที่สุดจะ Highly Recommend!!


ラストフレンズ

วันนี้มี J-Series ที่น่าสนใจเรื่องนึงมาแนะนำค่ะ ชื่อเรื่องว่า Last Friends จริงๆ เราคิดว่าคนอาจจะส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ รู้จักหรือต้องเคยเห็น อาจจะเคยดูซีรี่ส์เรื่องนี้กันมาแล้วก็ได้ เพราะมันก็ดังใช่เล่นอ่ะนะ แถมนักแสดงก็ไม่ใช่โนเนมด้วย เลยคิดว่าคงจะรู้จักกันแน่ๆ แต่เราอยากแนะนำสำหรับคนที่ยังไม่เคยดูหรือสำหรับคนที่รู้จักแต่ว่าไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะต้องดูก็แล้วกันค่ะ คือเราเองมีนิสัยเสียอย่างนึง เรายอมรับอย่างไม่อายเลยว่าเรามีอคติกับซีรี่ส์/หนัง ของฝั่งเอเชียค่อนข้างเยอะ ถามว่าอคติอะไร คือเราไม่ค่อยชอบภาพหรือสารที่สื่อบันเทิงฝั่งเอเชียนำเสนอเกี่ยวกับ Homosexualities เท่าไหร่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับผู้หญิง เพราะจะชอบนำเสนอภาพที่ไม่ตรงกับความจริง ภาพเชิงลบ เชิงผิดปกติ ไอ้ตอนโปรโมทล่ะมักจะโปรโมทซะดิบดี แหม ไอ้ส่วนใหญ่อ่ะการตลาดชัดๆ ชอบนำเสนอความ hot ของนักแสดงมากกว่าเนื้อหาหรือ content ทำให้เราเกลียดมาก ขอโทษนะเราไม่ได้อยากดู girls gone wild หรือ girl x girl อะไรทำนองนั้นนะ เห็นหลายเรื่องชอบโปรโมทสิ่งเหล่านี้ มันทำให้เราไม่ชอบเลย

เพราะผลท้ายที่สุด(ส่วนใหญ่)ชอบเขียนให้ผู้หญิงกลับใจกลับตัวได้ ถ้าหากเจอผู้ชายที่ดี หรือไม่ก็จบรันทด โคตรเศร้า ชีวิตอาภัพสุดๆ ไม่ก็ตายโหงตายห่าไปซะเลย เหอๆ อาจเพราะในอดีตที่ผ่านมา วงการบันเทิงฝั่งเอเชียสร้างความรู้สึกแบบนั้นให้เรารู้สึกกับผลงานหนังต่างๆ ล่ะมั้งคะ เราจึงค่อนข้างมีอคติไปโดยปริยาย ก็ไม่ใช่ว่าสื่อบันเทิงฝั่งตะวันตกจะไม่มีหนังเพศที่ 3 ที่จบงี่เง่าปาหมอนหรอกนะ มีค่ะ แต่เทียบอัตราส่วนก็ยังน้อยกว่าฝั่งเอเชีย ยิ่งซีรี่ส์เรื่องนี้ฉายระดับ Mainstream หรือระดับประเทศ! ของญี่ปุ่น(ประเทศที่เราไม่คิดว่าเพศที่ 3 โดยเฉพาะผู้หญิงจะได้รับการพูดถึงหรือยอมรับมากมายนักในระดับ mass) เราก็เลยบอกตรงๆ ว่าไม่คาดหวังสักเล็กน้อยว่าทีมงานจะกล้านำเสนอในเรื่องหนักๆ อย่างสิทธิ์ มุมมอง ความรู้สึก ในด้านบวก ด้านดี หรืออะไรต่ออะไรเลย เราไม่แม้แต่จะหาอ่านรีวิวด้วยซ้ำ! (บอกแล้วไงว่านิสัยเสีย แหะ แหะ) และก็ลงเอยด้วยการไม่ดู =_=;

จนกระทั่ง..ว่างค่ะ 55555555555+ บอกตรงๆ นะ หลายครั้งแล้วเหมือนกันที่พอเราว่างๆ ไม่มีคิวอะไรที่ติดตามอยู่หรือสนใจ เราจะเจอเพชรเม็ดเบ้งที่แฝงอยู่ในสิ่งที่เราเคยตั้งแง่ เคยสงสัยหรือไม่สนใจไปซะก่อนทุกทีเลยอ่ะ เซ็งตัวเอง(ว่ะ)ค่ะ คือนี่ถ้าเราไม่ว่างสงสัยเราก็ยังไม่ได้ดูซีรี่ส์เทพๆ เรื่องนี้แน่ คิดแล้วก็น่าเสียดายนะ ทำไมชอบเป็นคนแบบนี้ เฮ้อ..

สิ่งที่เราประทับใจในซีรี่ส์เรื่องนี้มีเยอะมากกกกกกกกกก โอ้ว เอนทรี่วันนี้คงจะเขียนเยอะเลยแหละ เชื่อไหมว่าเราดูจบไป 3 รอบแล้ว (อ่านไม่ผิดหรอก ดูซ้ำตั้ง 3 ครั้ง!) รอบแรกดูแบบอึ้งๆ งงๆ ดีกว่าที่คาดมาก เลยเซอร์ไพรส์สุดๆ *.* รอบสองกับรอบสามดูแบบเก็บรายละเอียด เพราะเรื่องนี้ symbolic เยอะมากกก ชอบอ่ะ เรื่องนี้ production สวยงามในสามโลมากค่ะ ฉาก แสง เสื้อผ้าหน้าผม สถานที่ นักแสดง/การแสดง บท เพลงประกอบ ทุกอย่าง!! เราชอบ opening ให้สุดใจขาดดิ้นเลยเหอะ มันโคตะระจะ artistic สื่อความหมายได้สวยงามดีจัง เศร้าและงดงามแต่ฉาบด้วยความหวัง..ในขณะเดียวกันก็ดูลึกลับไปด้วย ว้าว เวลาเราพูดอะไรหาร 2 ด้วยนะ 555555+ เปล่าค่ะ คือเราชอบมากน่ะ ก็เลยคิดว่าจากที่อคติจะกลายมาเป็นลำเอียงแทนแล้วมั้ง เหอๆ =.=; (ขอโทษค่ะ พอดีชีวิตไม่มีทางสายกลาง เหอๆ) อ๊ะ! ลองดูกัน opening ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยดูมาเลย สวยเวอร์



ที่สำคัญเรื่องนี้ได้เพลงประกอบสุดเทพของฮิกกี้อย่างเพลง Prisoner of Love ด้วยมันเลยทำให้ทุกอย่างยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้น เนื้อร้องความหมายแบบว่าใช่เลยอ่ะ มันเรื่องนี้เลยชัดๆ!! (มีบางคนบอกว่าเพลงนี้นี่มันจำเลยรักเห็นๆ กร๊ากกก ก็ใช่อ่ะนะถ้าจะแปลแบบไทย) คือเรื่องนี้เหมือนการรวมตัวของสิ่งดีๆ หลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน ผู้กำกับ คนเขียนบท นักแสดง ทีมงาน เพลงประกอบ มันส่งเสริมและเอื้อซึ่งกันและกันอย่างยิ่งๆ หากมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ห่วยหรือแย่ ซีรี่ส์เรื่องนี้ก็คงจะไม่มีวันงดามได้ขนาดนี้ สำหรับเรามันแทบจะเหมือนงานศิลปะเลยก็ว่าได้ค่ะที่ทำออกมาได้ดีขนาดนี้ เหมือนอาหารล่ะ ถ้าเครื่องปรุงไม่มีคุณภาพ หรือคนปรุงไม่เก่งพอ มันก็ไม่อร่อยถูกไหม ดังนั้นการจะปรุงได้อร่อยทุกอย่างต้องสมดุลจริงๆ เช่นเดียวกับซีรี่ส์เรื่องนี้เลย

เอาล่ะ พล่ามเยอะแล้ว เข้าเนื้อหาดีกว่า Last Friends เป็นซีรี่ส์ที่สะท้อนถึงจิตใจในระดับต่างๆ ของมนุษย์ เวลาเจอกับสถานการณ์ต่างๆ โดยนำเสนอผ่านมุมมองตัวละครหลักที่แตกต่างกัน 5 คน ซึ่งตัวละครหลักได้มาอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันหรือที่เรียกว่า Share House


มิจิรุ หญิงสาวที่ที่เติบโตมาอย่างขาดความอบอุ่น ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและท่าทางร่าเริงแจ่มใส กลับฉาบแววประกายความเศร้าและเหงาหงอยซ่อนอยู่ ทำงานเป็นช่างเสริมสวย(ฝึกหัด) คบหาดูใจอยู่กับโซวสุเกะ [key word ในฉาก opening คือ Love]

รุกะ สาวห้าวนักบิดมอร์เตอร์คลอส ผู้ซึ่งภาพลักษณ์ภายนอกดูคล้ายกับไม่แย่แสหรือแคร์สิ่งใดในโลก แต่ในจิตใจที่แท้จริงกลับแบกรับความทุกข์บางอย่างเอาไว้ที่ไม่สามารถบอกใครให้รู้ได้ [key word ในฉาก opening คือ Liberation]

เทคารุ หนุ่มช่างแต่งหน้าที่แสนอบอุ่นและเป็นมิตร ดูเผินๆ คนส่วนใหญ่คงจะยินดีแปะป้ายว่าเค้าเป็นเกย์ ด้วยความที่เค้าปฏิเสธจะคบกับหญิงสาวเช่นชายหนุ่มอื่นๆ แต่ก็เช่นกัน ทาเครุมีภูมิหลังอะไรบางอย่างที่เจ้าตัวไม่สามารถบอกใครได้ ถึงเหตุผลที่เค้าไม่สามารถคบกับหญิงสาวแบบชายหนุ่มปกติทั่วไปได้ [key word ในฉาก opening คือ agony]

เอริ สาวมั่นแอร์โฮสเตสสุดเก่ง เป็น working women เรื่องงานไม่เป็นสองรองใคร มีนิสัยเป็นคนเปิดกว้าง เฮฮา สาวสังคมสุดฤทธิ์ แต่ลึกลงไปแล้วภายในจิตใจกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ่างว้าง [key word ในฉาก opening คือ Solitude]

โซวสุเกะ หนุ่มนักสังคมสงเคราะห์ ภาพลักษณ์สุดเนี๊ยบและเป็นแฟนสุดเพอร์เฟ็ค แต่ภายใต้ความอบอุ่นอ่อนโยนที่เห็น กลับมีปมขัดแย้งคือความรุนแรงและก้าวร้าว ที่คนภายนอกจะไม่มีวันล่วงรู้ [key word ในฉาก opening คือ Contradiction]

Last Friends แทบจะเป็น J-Series เรื่องแรกๆ ที่กล้าหยิบปัญหาของสังคมยุคปัจจุบันมานำเสนอ แถมนำเสนออย่างตรงไปตรงมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นในเรื่อง Homosexualities , DV (Domestic Violence) หรือปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ก่อนอื่นเราขอชมนักแสดงเรื่องนี้ก่อน เพราะว่าหากนักแสดงทำการบ้านได้ไม่ดี แสดงได้ไม่น่าเชื่อถือ เราคงไม่ชื่นชมและดูได้ถึง 3 รอบหรอกจริงไหม? คนที่อยากชมที่สุดก็แน่นอนว่าต้องเป็น Ueno Juri ที่ทำเอาเราอ้าปากค้างเลยว่าเธอแสดงได้สมจริงและเก่งมากกกกก สลัดภาพตัวละครก่อนๆ ที่ดังอยู่แล้วของเธอออกไปได้อย่างหมดจดจนเราอึ้ง! ก่อนหน้านี้เราเคยติดตามผลงานเธอมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ชอบเป็นการส่วนตัว (คือปัจจุบันเราไม่ค่อยมีดารา/นักร้องที่ชอบแบบจริงจังอ่ะ มีแต่ชอบที่ผลงาน ไอ้ตามกรี๊ด ตามคลั่งนี่คงพ้นวัยแล้ว สมัยก่อนอ่ะเยอะ) แต่มาพูดอวยเองแบบนี้คงไม่น่าเชื่อถือใช่ไหม ไม่เป็นไร งั้นมาดูรางวัลที่น่าเชื่อถือกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง


เคยติดตามงานของ Ueno Juri ก็เรื่อง Swing Girls หนังฟอร์มอาจไม่ยักษ์แต่ชนะใจคนดู กับกลุ่มนักเรียนหญิงมัธยมที่หันมาเล่นดนตรีแนว Jazz กันอย่างจริงจัง เคยอ่านบทความนานแล้วว่านักแสดงต้องซ้อมและเล่นดนตรีได้เองจริง ซ้อมจริงออกแสดงจริง ตอนนั้นเราก็ทึ่งหนังเรื่องนี้ไปมากโขอยู่นะ เพราะทำได้ดีมาก ดูแล้วฮึกเหิม+ขนลุก ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ ต่อมาได้มีโอกาสมาติดตามผลงานต่อในเรื่อง Nodame Cantabile ก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ เพราะเราบ้าเมะมาก่อนดูซีรี่ส์ด้วยไง พอเจอ Nodame เวอร์ชั่นคนแสดงได้ดีและถ่ายทอดเหมือนเมะก็เลยปลื้มไปพักใหญ่ สำหรับเราเคยคิดมาตั้งนานแล้วนะว่า Ueno Juri มี vibe อะไรบางอย่างที่มัน unisex อ่ะ คือมีภาพลักษณ์ที่เห็นแล้วคนจะชอบได้ทั้งหญิงและชาย เรื่องนี้คนเขียนบท Last Friends อย่างคุณ Asano ก็ถึงกับพูดออกมาด้วยตัวเองเช่นกันว่า ที่จงใจเลือก Ueno Juri ให้มาเล่นบท Ruka เพราะผลงานเรื่อง Rainbow Song เธอรู้สึกว่า Ueno มี vibe อะไรบางอย่างที่สามารถเล่นบทของคนที่มีปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศได้ และยังบอกด้วยซ้ำว่าเมื่อตอนได้ตกลงและรับบทแล้ว Ueno ถึงกับไปตัดผมและเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวด้วยตัวเองก่อนถ่ายทำจริงซะอีก!! จนถึงขนาดออกปากชมว่าเป็นนักแสดงที่มีเซ็นส์ด้านการแสดงที่อัจฉริยะมาก เพราะ Ueno ถึงกับเปลี่ยนท่าทางการเดิน การพูดจา สีหน้าท่าทาง ไม่ว่าจะขณะถ่ายทำหรือไม่ก็ตาม Ueno กลายเป็น Ruka ทั้งต่อหน้าและหลังกล้องเลย คล้ายๆ กับว่าแยกไม่ออกว่าแสดงอยู่หรืออินจนคิดว่าตัวเองเป็นรุกะจริงๆ ไม่แปลกใจที่เธอจะกวาดและคว้ารางวัลไปหลายสถาบัน และก็เพราะเรื่องนี้ทำให้เธอได้รับคำชมอย่างล้นหลามมากในด้านฝีมือการแสดง (จริงๆ รางวัลมีมากกว่านี้นะคะ รางวัลจากสื่ออื่นๆ ที่อาจไม่ใช่แค่การแสดงอีก อาทิ MTV เรียกได้ว่าควันหลงเรื่องนี้ทำเอาเธอเป็นที่กล่าวขวัญถึงพักใหญ่เลยในช่วงปี 2008-2009)

โนดาเมะกับรุกะ บทที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ^^;

คนที่สองที่ต้องชมคือ Eita อ๊ากกกกกกก เราโคตรจะชอบผู้ชายแบบนี้เลยอ่ะ กรอบนอกนุ่มใน เย้ย! ไม่ใช่ กร๊ากกกก >.< เราเคยติดตามงานของ Eita มาบ้างเหมือนกันนะคะ อย่างเรื่อง Unfair เราก็ชอบมากๆ คุณ Asano บอกว่าที่เลือก Eita มารับบท Takeru เพราะว่า Eita ให้ความรู้สึกถึงสตรีเพศซ่อนอยู่จางๆ 555555+ เราว่าเราเข้าใจนะคะว่าคุณ Asano ต้องการสื่ออะไร เค้าไม่ได้หมายความว่า Eita เป็นเก้งเป็นกวางอะไรหรอก ถ้าใครเคยดูผลงานที่ผ่านมา (โดยเฉพาะเรื่อง Unfair) ก็น่าจะเข้าใจความหมายนี้ คือ Eita มี Vibe ของ Feminism ฉาบอยู่ในท่าทีที่แสดงออก และไม่ได้หมายถึงทางสรีระ แต่หมายถึงทางด้านจิตใจ Eita ดูจะเข้าอกเข้าใจ และอยู่ข้างฝ่ายหญิงมากกว่าฝ่ายชาย อธิบายอย่างนี้จะเข้าใจไหมหว่า แต่เอาเป็นถ้าใครเคยดูผลงานของ Eita จะเข้าใจว่าหมายถึงอะไรค่ะ ^^

ส่วนคนที่ผิดคาดมากกกกกกก็คือ Nishikido Ryo!! บอกตรงๆ ในบรรดาหนุ่มๆ ค่าย JE(Johnny's Entertainment) เราปลื้มหลักๆ อยู่ 3 คน 1. รักแรกพบสมัยวัยซะรุ่น tackey!! หรือ Hideaki Takizawa คนนี้เราเคยบ้ามากช่วงมอต้น มีของสะสมเกือบทุกอย่าง ^^; คนที่ 2 Ninomiya Kazunari และคนที่ 3 ก็ไม่ใช่ใคร Ryo จังนั่นเอง อิอิ (แหม ถึงเราจะชอบยูริแต่คนเรามันก็ต้องมีโหมด Fan girl บ้างอะไรบ้างนะคะ ฮี่ฮี่) มาเรื่องนี้เราบอกตรงๆ เราโคตรนับถือ Ryo เลยค่ะที่กล้ารับบทเสี่ยงๆ แบบนี้!! คือบท DV หรือผู้ชายที่ชอบลงไม้ลงมือกับผู้หญิงน่ะ มันไม่เท่ห์หรอกนะขอบอก ถ้าเล่นบทแบบนี้ แน่นอนล่ะว่าจะมี Fan girl ที่ยังเห็นใจและเข้าข้างอยู่บ้าง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันจะต้องทำให้คนไม่ชอบได้เช่นกัน เราจึงนับถือ Ryo มากๆ ที่กล้ารับบทนี้ ชนะใจเราไปเลย นักแสดงที่ดีต้องกล้าเล่นบทที่แตกต่างและหลากหลาย ไม่กลัวคำครหา! และเรื่องนี้ Ryo ก็เล่นได้ดีมากๆ ด้วย ดีซะจนขณะชมเราโตรจะเกลียดโซวสุเกะเลยอ่ะ กร๊ากกกกก (แต่ไม่เกลียด Ryo นะ อิอิ :p) ยิ่งใครดูเรื่อง 1 Litre no Namida เราว่าคุณคงช็อคซินีม่าไปเลยถ้าได้มาดู Ryo เรื่องนี้ 555555+

ส่วนการแสดงของ Masami Nakazawa ที่รับบท มิจิรุ เราคิดว่าเธอแสดงได้ดีในระดับหนึ่งนะคะ คือสารภาพตรงๆ เราจำไม่ได้ว่าเธอเคยเล่นเรื่องอะไรมาบ้าง (ใครชอบมาซามิจังก็อย่าเคืองเราน๊า) เราจำอะไรเกี่ยวกับเธอไม่ได้เลย เราอาจจะเคยดูหรือเปล่าก็จำไม่ได้ แต่เราเคยเห็นเธอมาก่อนแน่นอนค่ะ คือเธอค่อนข้างดังและป๊อบมากอันนี้เราก็พอรู้ แต่เราอ่านหลายบอร์ดนะว่าเรื่องนี้เธอแสดงได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีแต่คนวิจารณ์เธอในทางที่ไม่ค่อยชื่นชม ก่อนหน้านี้เราพอจะรู้มาบ้างว่ามีคนหมั่นไส้เธอเยอะ (อาจเพราะเธอได้เล่นกับหนุ่มค่าย JE บ่อยหรือเปล่า เลยโดน Fan girls หมั่นไส้ เหอๆ) แต่สำหรับเรื่องนี้ เธอก็ถ่ายถอดภาพของมิจิรุออกมาได้ดีนะคะ สำหรับเราก็ผ่านอ่ะ ไม่ได้น่าเกลียดอะไร คือภาพของมิจิรุของคุณ Asano คือหญิงสาวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม สดใสร่าเริง ต้องมีความเป็นหญิงแบบเกิน 100% และต้องมีความรู้สึกที่เห็นแล้วอยากทะนุถนอม น่าปกป้องด้วย พร้อมกันในรอยยิ้มต้องฉาบประกายความเศร้านิดๆ ซึ่งเวลาเราเห็น Masami เล่นเราก็รู้สึกว่า อืม..มิจิรุก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะ (อาจเพราะเราจำเธอจากเรื่องอื่นไม่ได้ด้วยมั้ง เลยไม่รู้สึกว่าเล่นดีหรือไม่ดี แต่รู้สึกว่าเป็นมิจิรุได้เหมาะสมดี) อีกอย่างเรารู้สึกว่าบทอย่างมิจิรุเล่นยากนะ คือเป็นผู้หญิงที่เศร้าในอ่ะ อ่อนโยน+กึ่งๆ จะอ่อนแอ่ ต้องการการปกป้อง ร้องไห้เยอะมาก (ทั้งเรื่องนี้ร้องไปกี่ลิตรกันคะเนี่ย) แถมยามปกติก็ต้องยิ้มเยอะด้วย เห็นแล้วเหนื่อยแทน ไม่ใช่บทที่จะเล่นได้ง่ายๆ แหะ เราเลยรู้สึกว่า Masami ก็สอบผ่านสำหรับการเป็นมิจิรุ

ส่วน Asami Mizukawa หรือที่ได้รับบท Eri เราเคยติดตามงาน Asami มาก่อนเช่นกันค่ะ ก็แน่ล่ะเรื่อง Nodame Cantabile และหนังเรื่อง Shinku (เรื่องนี้ค่อนข้างอาร์ตและออกแนวแอบจิต+แฝงเลสเล็กน้อย) เรื่องนี้ Asami ฮาแตกมากค่ะ แบบไฮเปอร์เกินร้อย ตลกมาก บทที่ผ่านๆ มาไม่ใช่แบบนี้เลย แต่เราชอบ Asami เวลาเล่นอะไรฮาๆ ตลกๆ นะ มันน่าร๊ากกกกกอ่ะ >.< ยิ่งถ้าใครมีโอกาสได้ดู Last Friends เวอร์ชั่น Zone 2 ของญี่ปุ่น มันจะมีตอนพิเศษแถมให้ชื่อว่า エリー my Love (Eri my Love) ซึ่งจะเป็นตอนสั้นๆ ฮาๆ ให้ดู แนะนำให้หามาดูในยูทูบก็มีค่ะ คลิ๊ก ดูไปขำไป เล่นกันไปได๊! จะบ้าตาย ใครดูแล้วไม่ฮากลับมาด่าเราได้เลย กร๊ากกกก ขำมากกกก ช่วยเบรคความเครียดของซีรี่ส์ได้เป็นอย่างดี คริคริ 

ก็อย่างที่พล่ามมาน้ำลายท่วมปากทางด้านบน ว่าซีรี่ส์เรื่องนีัเป็นการรวมกันของสิ่งที่ดีๆ หลายอย่าง ผลงานจึงเพอร์เฟ็คได้ขนาดนี้ มาดูด้านเรตติ้งกันบ้างดีกว่า

รายชื่อตอน


#ชื่อตอนอัตราความนิยมวันออกอากาศ
1"ปัญหาที่บอกใครไม่ได้ DV การต้งครรภ์ รักต้องห้าม"
(誰にも言えない悩み DV、妊娠、禁断愛) 
13.910 เมษายน 2551
2"ความลับของชีวิต"
(命がけの秘密) 
15.617 เมษายน 2551
3(命を削る想い) 15.924 เมษายน 2551
4(引き裂かれた絆) 15.91 พฤษภาคม 2551
5"ค่ำคืนที่สุดสะเทือนใจ"
(衝撃の一夜) 
19.98 พฤษภาคม 2551
6(命がけの逃避行) 17.215 พฤษภาคม 2551
7"ความจริงที่โหดร้าย"
(残酷な現実) 
16.022 พฤษภาคม 2551
8"จดหมายฉบับสุดท้าย"
(最後の手紙) 
18.829 พฤษภาคม 2551
9"ชีวิตของคุณ"
(君の命) 
18.05 มิถุนายน 2551
10"บทสุดท้าย ความรักและความตาย"
(最終章・愛と死) 
20.712 มิถุนายน 2551
11"สู่อนาคต"
(未来へ) 
22.819 มิถุนายน 2551
จะเห็นได้ว่าตอนแรกนั้นเปิดตัวได้ธรรมดา ไม่หวือหว่ามากนัก คือเรตติ้งที่ 13.9 (แต่จริงๆ เรตนี้ก็ไม่น่าเกลียดหรอกค่ะ เพียงแต่อาจจะไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างที่สุด) แต่หลังจากนั้นก็ถีบตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ แน่นอนว่าเป็นเพราะทุกอย่างที่เรากล่าวไปทางด้านบนคือ การได้ส่วนผสมที่ลงตัวของทุกอย่าง นักแสดง บท เพลงประกอบ การลำดับภาพสวยมากๆ ต้องชมผู้กำกับและคนตัดต่อจริงๆ ที่สำคัญเนื้อเรื่องบีบคั้น สะท้อนจิตใจมนุษย์และปัญหาของสังคมออกมาได้ดีมาก ตอนสุดท้ายจึงพุ่งไปแตะที่ 22.8 ได้อย่างสวยงาม จริงๆ มี SP ออกมา 1 ตอนนะ แต่สำหรับเรามันไม่ใช่ SP อ่ะ ใครดูแล้วอย่าคาดหวัง เหมือน RECAP 11 ตอนที่ผ่านมาแล้วมากกว่า ไม่รู้จะทำออกมาให้เสื่อมเสียความงามของซีรี่ส์เพื่ออะไร บ้าจริงๆ (เราโคตรจะเกลียด SP เรื่องนี้เลยอ่ะ เพราะมันไม่ใช่ SP มันเป็นแค่รวบตอน 1-11 มาฉายซ้ำ บ้าบอมาก =_=;) 

ดูซีรี่ส์เรื่องนี้จบ ทำให้ในหัวเรามีคำถามเต็มไปหมด มันทำให้เรามองความรัก มองอัตลักษณ์ทางเพศของมนุษย์เปลี่ยนไป ทำให้เราเข้าใจคนเราที่แตกต่างกันได้มากยิ่งขึ้น ถ้าถามว่าเรื่อง Last Friends ยูริรึเปล่า เราบอกตรงๆ ว่าไม่อยากให้แปะป้าย Label ให้ซีรี่ส์เรื่องนี้ในแบบนั้น เพราะมันมีอะไรที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากกว่าแค่วายหรือไม่วาย เลสหรือไม่เลส เกย์หรือไม่เกย์ แต่ Last Friends พูดถึงความรักในหลายเฉดที่ไม่ใช่แค่ขาวกับดำ หญิงกับชาย หญิงกับหญิง หรือชายกับชาย เรื่องนี้ไม่ใช่เลย! เรื่องนี้มันวิวัฒตัวเองให้ไปไกลกว่านั้น เรากล้าพูดได้เลยว่า หากมนุษย์สามารถมีความรักต่อกันได้เฉกเช่นตัวละครแบบในเรื่องนี้ (โดยเฉพาะตอนจบ) สังคมคงจะมีความสุข ไร้ซึ่งปัญหากว่าเดิมเยอะ ตอนจบบางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ แต่เราชอบนะ เพราะด้วยส่วนตัวเรามองว่ามันเป็นทางออกที่สวยงามภายใต้สถานการณ์นั้น มันดีที่สุดแล้ว และงดงามที่สุดด้วย(ซึ่งโอกาศจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตคงจะใกล้เคียง 0 เหอๆ)

ตัวละครที่เราประทับใจมากที่สุดในเรื่องนี้คือ 2 คนนี้ค่ะ อยากรู้ว่าทำไมถึงประทับใจ ต้องไปดูเอง แล้วไม่ต้องถามว่า อ้าวไม่วายเหรอ ลงเอยด้วยกันเหรอ อย่างที่เราบอกไป เรื่องนี้มีมากกว่าแค่ความวายหรือไม่วาย หรือชายกับหญิง แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ รับรองได้ว่าไม่จบปาหมอน ประเภทหนังไทยที่ชอบให้ผู้หญิงกลับใจไปคบผู้ชาย เรื่องนี้คุณไม่ต้องห่วง ไม่เป็นแบบนั้นแน่นอนค่ะ :)


ต่อไปนี้จะเป็นการสปอยด์ ใครดูจบแล้วจะลากอ่านก็ได้นะคะ ใครยังไม่ได้ดูก็ไม่ต้องลากอ่านล่ะ เพราะจะเป็นการสปอยด์ถึงเนื้อหา ถ้าอยากรู้เรื่องเองก็อย่าอ่าน เตือนแล้วนะ เราอยากแชร์สิ่งที่คิดกับคนที่ดูจบแล้วเท่านั้น อยากระบายว่างั้น ^^;
สิ่งที่เราประทับใจมากๆ หลังดูจบก็ก็คือความรักที่รุกะมีต่อมิจิรุ และความรักที่ทาเครุมีต่อรุกะ ความรักที่ 2 คนนี้มีให้ต่อคนที่ตนรักนั้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์และงดงาม เต็มไปด้วยความเสียสละและอุทิศตน การสละความสุขส่วนตัว การทำเพื่อคนอื่นอย่างแท้จริง เป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่สุุด เพราะไม่ต้องการการผูกมัด หรือการเป็นเจ้าของ ไม่ต้องการการรักตอบ ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความไคร่หรือตัณหา หากใครสักคนรักคุณได้แบบนี้ คุณจะเป็นคนที่โชคดีและน่าอิจฉามากที่สุดคนนึงในโลกเลยก็ว่าได้ คล้ายๆ ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก คือรักด้วยบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการเงื่อนไขหรืออะไรตอบแทน

รุกะรักมิจิรุอยู่ข้างเดียวมานาน แต่ในท้ายที่สุดแม้มิจิรุจะไม่สามารถรักรุกะในแบบที่รุกะรักตนได้ แต่รุกะก็ไม่ได้ตีอกชกตัว จมทุกข์กับความรัก แต่ตรงกันข้าม ความรักที่รุกะมีต่อมิจิรุไม่ได้สั่นคลอนหรือน้อยลงไปเลย เธอรักมิจิรุแม้จะรู้ว่าไม่มีวันได้ครอบครองครัวหัวใจ ขอเพียงคนที่เธอรักมีความสุขเท่านั้น เธอยินดียืนหยัดอยู่เคียงข้างจนวันสุดท้ายของชีวิต แค่เพียงจะได้ดูแล ปกป้องและทำให้มิจิรุมีความสุข ส่วนทาเครุที่หลงรักรุกะ แม้รุกะจะไม่มีวันรักทาเครุตอบในแบบที่ทาเครุต้องการได้เช่นกัน แต่ก็เหมือนกับรุกะ ทาเครุก็ไม่ได้จมปลัก กร่นโทษฟ้าดิน ยิ่งไปกว่านั้น ทาเครุเสียอีกที่เป็นฝ่ายสนับสนุนให้กำลังใจ พยายามหาทางให้มิจิรุกลับมา พารุกะไปหามิจิรุ เพื่อให้รุกะมีความสุข ทาเครุไม่สนใจว่า รุกะจะชอบผู้หญิง หรือจะเป็นเพศอะไรทั้งนั้น เค้าชอบรอยยิ้มของรุกะ และอยากเห็นรุกะมีความสุข ขอแค่ได้เห็นรอยยิ้มและทำเพื่อรุกะ เค้าก็มีความสุขแล้ว เค้ายินดีทำตราบนานเท่านานเช่นกัน ความรักของทั้งสองคนนี้ที่มีต่อคนที่ตนรักจึงงดงาม บริสุทธิ์ อย่างแท้จริง

ตอนที่ระกุเผยตัวตนที่แท้จริงกับพ่อและกับทาเครุ มันเป็นฉากที่สะเทือนอารมณ์และทรงพลังมาก โดยเฉพาะฉากที่ตอนทาเครุอ่านจดหมายและรู้ความลับขอบรุกะ ว่าตัวตนเนื้อในที่แท้จริงเป็นอย่างไร และทำไมรุกะถึงไม่มีความสุข (แม้จะไม่แสดงออกว่าตนทุกข์ก็ตาม) ทาเครุกลับบอกว่าเค้ายังคงรักรุกะ และไม่ต้องถามว่ารักในฐานะที่ระกุเป็นผู้หญิง หรือในฐานะมนุษย์คนนึง เพราะเค้าก็ตอบไม่ได้ รู้เพียงแต่เค้าอยากอยู่เคียงข้าง ในยามรุกะเป็นทุกข์ และต้องการยืนเคียงข้างรุกะตลอดไป รุกะที่เคยรู้สึกมาตลอดว่ารู้สึกโดดเดี่ยว ไร้คนเข้าใจ ณ ห่วงเวลานั้นเป็นครั้งแรกที่รุกะรู้สึกว่า ตนไมได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป อย่างน้อยๆ มีคนๆ นึงที่รักตัวเธอ โดยไม่สนใจเพศหรือสิ่งที่เธอเป็น ฉากนี้เรียกน้ำตาไปได้เยอะมาก

ฉากที่รุกะสารภาพกับพ่อว่า ตนนั้นจะไม่มีวันแต่งงานอย่างผู้หญิงทั่วไปและไม่สามารถรักผู้ชายได้ตลอดชีวิต ก็เป็นฉากที่เราไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะฉายระดับ Mainstream ของญี่ปุ่นได้ พับผ่าซิ!! เป็นฉากที่สำคัญมากสำหรับการยอมรับมนุษย์คนนึงในสิ่งที่เค้าเป็น ก่อนหน้านี้รุกะไม่อยากให้พ่อเสียใจ ไม่อยากให้ใครรู้ ได้แต่เครียดและเจ็บปวดอยู่คนเดียวมาโดยตลอด แต่ในที่สุดเธอก็สามารถก้าวข้ามผ่านความกลัวตรงจุดนั้นได้ (ต้องขอบคุณทาเครุด้วย ที่ทำให้เธอมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น และมีความกล้ามากขึ้นที่จะบอกคนอื่นถึงสิ่งที่ตัวเป็นและไม่แบกควาทุกข์นี้ไว้คนเดียวอีกต่อไป)

พ่อของรุกะนับเป็นพ่อตัวอย่างที่ดีมากๆ ค่ะ คือแม้จะเจ็บปวดที่รู้ แต่ก็ไม่แสดงออกให้รุกะเห็น เค้าสนับสนุนรุกะ ในฐานะของพ่อ ในฐานะของคนในครอบครัว เค้ารักรุกะในแบบที่รุกะเป็น ในตอนหลังทั้งครอบครัว แม่และน้องชายรวมถึงเพื่อนเอริ ก็สามารถรับรุกะในแบบที่เป็นได้ แน่นอนว่ามันต้องสร้างบาดแผลในจิตใจให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่สิ่งที่ทุกคนแสดงออกก็คือ การยอมรับและสนับสนุน การร่วมกันก้าวผ่านไปด้วยกันให้ได้ แม้อาจจะเจ็บปวดมีอุปสรรคแต่ด้วยความรักที่มีแล้ว ความรักย่อมเอาชนะได้ทุกสิ่ง อย่างที่บอกในเรื่องนี้ ตัวละครแต่ละตัว จะนึกถึงผู้อื่นก่อนตัวเอง ความสุขของคนที่ตนรักจะต้องมาก่อนควาทุกข์ของตัวเอง จริงอยู่ว่ามันต้องมีคนที่ไม่สามารถรับรุกะได้ แต่อย่างน้อยๆ ครอบครัวและเพื่อนรักเธอในแบบที่เธอเป็น เพียงแค่นี้ก็เป็นสื่อสำคัญที่ดีที่สุดที่สามารถสื่อไปยังผู้ชมแล้วล่ะค่ะ งดงามๆ บราโว่ ปรบมือให้เลย

เอาล่ะ มาถึงโซวสุเกะบ้าง ในเรื่องนี้มีคนเกลียดโซวสุเกะเยอะมาก ก็แน่ละเค้าทั้งเตะทั้งต่อยผู้หญิง ไหนจะทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ในสังคมเราก็คงจะมีไม่น้อยกับผู้ชายที่เป็นแบบนี้ (เราคิดว่าผู้หญิงก็มีนะ แต่อาจไม่ใช่ทางร่างกาย แต่เป็นทางจิตใจ ประเภท รักแรง หึงแรง หวงแรงน่ะ) ถามว่าเราเข้าใจโซวสุเกะไหม มันอาจฟังดูไม่น่าเชื่อนะ แต่เรากล้าพูดว่าเราเข้าใจ เพียงแต่เนื้อเรื่องไม่ได้นำเสนอออกมาชัดเจนว่าทำไมโซวสุเกะเป็นแบบนั้น รุงแรงแบบนั้น อาจมีปมที่อดีตแม่ทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็ก เลยมีความรู้สึกเกลียดผู้หญิงลึกๆ (เพศแม่) อย่าลืมว่าโซวสุเกะโดนทิ้งไปตั้งแต่ชั้นประถม เราเองตอนเด็ก(ประถม)พ่อแม่เคยไปทำงานต่างจังหวัด เรารู้สึกเหงามาก นี่ขนาดเราไม่ได้โดนทิ้งนะ เหอๆ เรายังร้องไห้แทบทุกวัน เราเจอพ่อกับแม่แค่เสาร์-อาทิตย์เป็นเวลาหลายปี ดังนั้นเราเข้าใจความเหงา และโดดเดี่ยวของโซวสุเกะ (หรือมิจิรุ) ในระดับนึง เวลาคุณเป็นเด็ก คุณยังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ในชีวิตคุณจะมีใครสำคัญไปกว่าพ่อกับแม่ถามจริง ให้ลุงป้าน้าอาดีกับคุณแค่ไหน มันก็ไม่เหมือนพ่อกับแม่หรอก จริงๆ ค่ะ ดังนั้นโซวสุเกะที่โดนทิ้ง คงจะรู้สึกเหมือนโดนทรยศ มันเจ็บปวดเป็นบาดแผลขนาดใหญ่ พอมาเจอมิจิรุ ด้วยความที่รักมิจิรุมาก มากจนกลายเป็นหลงและหน้ามืด กลัวมิจิรุจะทิ้งไปเลยต้องซ้อมเช้าซ้อมเย็น เหอๆ ถามว่าเข้าใจไหม ตอบได้เลยว่าเข้าใจ แต่ถ้าถามว่ารับได้ไหม ไม่ต้องคิดเลยค่ะ ไม่มีวันรับได้ ในชีวิตจริง เราไม่ทนแบบมิจิรุหรอก มาเงื้อมือกับเราแค่ครั้งเดียวเราก็คงหนีไม่ก็ไปแจ้งความแล้วล่ะ

ทีนี้ถามว่าทำไมมิจิรุถึงเป็นแบบนั้น ถึงเราจะกล้าพูดเลยว่าเราจะไม่มีวันยอมทนแบบมิจิรุ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เข้าใจมิจิรุนะ เธอเติบโตมาแบบไม่มีใครรัก พูดแบบนี้ผิด เอาใหม่ๆ (เพราะรุกะรักมิจิรุ แต่มิจิรุไม่รู้ตัว) ต้องพูดว่ามิจิรุเติบโตมาแบบ 'รู้สึก' ว่าไม่มีใครรักตน ทั้งพ่อกับแม่ พอเจอคนที่รักเธอ เทคแคร์เธอ อย่างโซวสุเกะ มันก็เลยกลายเป็นจุดอ่อนไป ด้วยความที่อยากได้ความรักมาเติมเต็มความเหงาลึกๆ การกลัวจะต้องกลับไปเหงาและโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวอีก ดังนั้นถึงจะโดนซ้อมเช้าซ้อมเย็นก็เลยยอม ขอเพียงแค่ให้ได้รับความรัก เราเห็นมีแต่คนเกลียดมิจิรุ เกลียดที่ยอมโซวสุเกะ และเกลียดที่ไม่สามารถรักรุกะในแบบที่รุกะรักตอบได้ แหม คุณจะเอาอะไรมากมายถามจริง แน่ล่ะว่าเราผิดหวังที่มิจิรุไม่สามรถรับรักรุกะตอบได้ แต่เราก็ไม่โทษเธอนะ ก็ในเมื่อเธอไม่ได้รักรุกะแบบนั้นอ่ะ จะไปบังคับฝืนใจได้ไงกันค๊า เหมือนคนเป็นเกย์ เป็นทอมอ่ะ มีผู้หญิงหรือผู้ชายมาชอบคุณในแบบเพศตรงข้าม คุณจะรับรักตอบได้ไหมล่ะ ก็ทำนองเดียวกัน มิจิรุไม่ได้เป็นแบบรุกะ เธอไม่สามารถรักรุกะได้ในแบบเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เจ็บปวดอะไรเลย อย่าลืมว่าซีรี่ส์เรื่องนี้เริ่มต้นมาจากการที่มิจิรุพูดถึงรุกะมาโดยตลอด ว่าเสียใจแค่ไหนที่ผ่านมาที่ไม่เคยเข้าใจรุกะ ไม่เคยรู้ว่ารุกะเจ็บปวดเรื่องอะไร หรือคิดอะไรกับตัวเอง มิจิรุเองก็รักรุกะ แม้จะคนละความหมาย เธอเองก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่อยากให้ลืมคิดตรงจุดนี้ด้วย ลึกๆ แล้วเราเชื่อว่ามิจิรุรักรุกะแบบประเภทที่ว่า more than friend but less than lover คือเป็นคนสำคัญที่ไม่สามารถระบุได้ตรงๆ ว่ารักในระดับไหน รู้แค่ว่ารัก และอยากให้เค้ามีความสุข ไม่อยากให้ใครมาว่าร้าย ไม่งั้นตอนจบไม่ตบหน้าโซวสุเกะที่ทำร้ายรุกะหรอก จริงไหม? มิจิรุเองก็อยากปกป้องรุกะในแบบของตัวเองเช่นเดียวกัน ตอนที่โซวสุเกะบังคับคืนใจ มิจิรุก็ยังบอกว่าจะทำให้แบบนี้ได้ตลอดไป ขอเพียงไม่ไปทำร้ายรุกะเพื่อนของเธออีก รวมทั้งทาเครุด้วย แปลว่าในท้ายที่สุดแล้ว มิจิรุก็สามารถก้าวข้ามผ่านการต้องการความรักไปได้ และกลายเป็นรักคนอื่นอย่างเสียสละ รักคนที่ตนรักและอยากให้เค้าอยู่สุขสบายดีและปลอดภัย โดยไม่สนใจตนเองว่าจะต้องทุกข์แค่ไหน ในท้ายที่สุดมิจิรุก็ทำได้เช่นเดียวกับทาเครุและรุกะ แม้จะในแบบที่ดูเข้าใจยากกว่าก็ตาม

ก็เอาล่ะค่ะ หลักๆ คงจะมีพูดเพียงเท่านี้นะ อยากพูดอีกเยอะ แต่เหนื่อยแล้ว ไว้ค่อยมาอัพใหม่ (จบปาหมอนแบบนี้เลยเนอะตู เหอๆ) 

แต่ก่อนอื่นตัดเกรดกันก่อนจ๊า

ผลคะแนน
รับไปเลย 9/10 เย้ๆ!! Omedetou!! รีบไปหามาดูกันเร๊วววว คริคริ
หัก 1 คะแนน เนื่องจากเกลียด SP ที่ทำออกมาทำไมไม่รู้ ไม่ใช่ SP ซักกะนิด เฮ้อ! รมณ์เสีย และก็คิดว่าฉากจบมันน่าจะดีได้กว่านี้อีก(นิดนึง)!! มันดูรีบ+ลวกไปอ่ะนะ แต่ก็โดยรวมก็ดีมากแล้ว เป็น J-Series ที่ข้าพเจ้าขอ Highly Recommend!!

Credit: Google,Wiki,D-addicts

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

Review Sasameki Koto หนึ่งคํารักยากจะเอ่ย มังงะ/เมะยูริที่ต้องดู


สวัสดีค่า ห่างหายจากการรีวิวยูริไปนานมากกกกกกก ก็เอาล่ะ วันนี้กลับมารีวิวแล้ว พกของดี ของเทพ ควรค่าแก่การเสพ..ติดตัวมาด้วย! ซึ่งสิ่งนั้นคือ

Sasameki Koto ซึ่งลิขสิทธิ์ไทยใช้ชื่อว่า "หนึ่งคํารักยากจะเอ่ย"

เรื่องนี้มีทั้งอนิเมะและมังงะนะคะ มังงะที่ญี่ปุ่น 9 เล่มจบไปเรียบร้อยแล้ว ของไทยรักพิมพ์เป็นผู้จัดจำหน่าย อยากซื้อหามาเก็บเป็นสมบัติไว้ให้ลูกหลาน จิ้ม ซื้อจากเว็บสนพ.ราคาเล่มละ 45 บาทเองค่ะ ไม่แพงหรอก แถมส่งลงทะเบียนฟรีด้วย (เค้าไม่ใช่ม้านะ แต่เจอของดีก็อยากบอกต่ออ่ะ) รักพิมพ์ออกถึงเล่ม 8 ยังไม่จบ ส่วนอนิเมะก็มีคนทำซับไทยแล้ว หากันเอาเอง เหอๆ (ไม่ยากเกินความสามารถเหล่าวีรชนผู้เสพยูริหร๊อก ชิมิ๊ หึหึ) เอาล่ะๆ เพ้อมากไปแล้ว เข้าเรื่องดีกว่า

เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องรักๆ แต่ไม่ใคร่นะ รับรองถ้ากระทรวงวัฒนธรรมตรวจจะไม่เจออะไรอันตราย อิอิ เรื่องราวเกิดขึ้นภายในรั้วโรงเรียนมัธยม(สหะด้วยนะ ไม่ใช่สตรีล้วน) กับความรู้สึกรักอันแสนบริสุทธิ์ซาบซึ้ง ซึมลึกละมุนละไม ทั้งงดงามและเจ็บปวด กับความรักของหญิงสาวที่รักเค้าข้างเดียว

ตัวละครเอก 2 ตัวหลัก พระเอ้ย! นางเอก 2 คนคือ 

1. สุมิกะ มุราซาเมะ  = ยามปกติ  = ยามรั่ว 
2. อุชิโอะ คาซามะ  = ยามปกติ  = ยาม..น่าร๊กากกอ๊ะ 

สุมิกะหลงรักคาซามาะ(ข้างเดียว) มานานนมโดยที่สาวเจ้าบ่ได้รู้ ส่วนคาซามะนั้นมักจะชอบไปหลงรักเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักสุดโมเอะเป็นประจำ สเป็คเธอคือชอบเด็กผู้หญิงที่น่ารักเท่านั้น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้สุมิกะไม่กล้าบอกความรู้สึก จึงได้แต่เก็บงำ(เงียบๆ)ไว้คนเดียวตลอด เพราะตัวเองห่างไกลจากความน่ารัก ทั้งสูง(กว่าผู้ชาย) เรียนเก่ง กีฬาเก่ง บ้านเป็นโรฝึกอีก เป็นหัวหน้าและเคยเป็นประธานนักเรียนมาตลอดอีก ชีวิตโคตรจะผู้นำ และไม่มีช่องว่างให้ความน่ารักมาเยือน แต่ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกันมานานทั้งที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน สุมิกะทำทุกอย่างได้ให้คาซามะมีความสุข แม้แต่ตัวเองจะเจ็บก็ยอมทน ยืนหยัดเคียงข้างคาซามะทั้งยามสุขและทุกข์ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร คาซามะจะได้รู้ความจริงไหม จะมองเห็นไหมว่ามีใครสักคนรักตัวเองอยู่สุดหัวใจ แล้วสุมิกะจะกล้าสารภาพรักไหม ทำไมคำว่ารักมันพูดออกไปยากเสียจริง ตามชื่อเรื่องเลย เพราะหนึ่งคำรักยากจะเอ่ย


พี่ชายแฝด 3 ของสุมิกะ เห็นครั้งแรกแทบพุ่ง ยังกับหลุดออกมาจากสตรีทไฟเตอร์ ฮาโคตร lol

เราเริ่มต้นจากการดูเมะก่อน บอกตรงๆ ว่าเป็นม้านอกสายตามากๆ ค่ะ คือตอนนั้นกำลังบ้า Candy boy อยู่+ติดตามอย่างอื่นเยอะแยะไปหมด เรื่องนี้เลยไม่ค่อยอยู่ในสายตาเท่าไหร่ แต่ก็ได้ดูจนจบ เมะดำเนินไปได้แค่มังงะ 2 เล่มเอ๊งงงง  แต่ขนาดแค่ 2 เล่มนะ ก็ไปได้ตั้ง 12 ตอนแหนะ เก่งมาก ==b ดูจบประทับใจระดับหนึ่ง แต่ไม่ซึมลึก และก็ลืมไปไม่ได้เอามารีวิว จนกระทั่งเรามาตามเก็บมังงะ เพราะว่างจัด กร๊ากกก นี่ถ้าไม่ว่างคงพลาดแน่ๆ 

เชื่อไหมซื้อมา 8 เล่ม อาจจบภายในแป๊บเดียว รวดเดียว ตอนแรกว่าจะอ่านก่อนนอนนิดนึงแท้ๆ ขยับตัวอีกที อ้าว! เช้าแล้วเหรอ? 555555+ แถมสารภาพว่าทนไม่ไหวต้องหาเล่ม 9 แบบแปล eng มาดูก่อน (ก็ไม่ครบนะ ต้องอ่านป็น chapter เอาแต่ก็อ่านจนจบแล้ว) อยากบอกว่า จงไปจงซื้อมาอ่าน ณ บัดนาวววว!! 

โอ๊ย ทำไมมันถึงได้สุดยอดขนาดนี้ ตอนดูเมะก็ว่าเออๆ เรื่องนี้ใช้ได้แหะ แต่พออ่านมังงะ เฮ้ย! มันสุดยอดกว่าอ่ะ ลายเส้นสะอาด สวยงาม สบายตาสุดๆ ตัวอย่างๆ (อันนี้ sub eng นะ)

 
ฉากในมังงะ งานสะอาดและประณีตมาก ชอบลายเส้นสุดๆ

แต่ที่มันเทพในสามโลกเกินสิ่งใดเปรียบคือ "อารมณ์และบรรยากาศ" ที่นำเสนอนี่สิคะ เฮ้ย เรื่องนี้ผู้ชายแต่งนะคะ ขอบอก! แต่แม่เจ้า ทำไมถึงได้เข้าใจจิตใจชาวยูริดีขนาดนี้ T_T ราวกับมีจิตวิญญาณของสาว(วัยแรกรุ่น) สิงในตัว ฮิฮิ 

เนืื้อเรื่องนำเสนอได้ลื่นไหลมากๆ กลมกล่อมมากๆ ภาษางดงามมากๆ ขอให้เครดิตรักพิมพ์หน่อยว่าแปลได้อรรถรส ปรบมือ แปะ แปะ ตอนแปล Girlfriends หรือเพื่อนหญิง เราว่าแปลได้ไม่ค่อยดีอ่ะ อ่าน ENG ยังได้อรรถรสกว่า แต่เรื่องนี้แปลไทยเทพมาก เข้าถึงอารมณ์ได้ดีสุดๆ บางประโยคมาเป็นบทกลอน ทั้งซึ้งทั้งฮา เก่งสุดยอด แถมแปลมุขต่างๆ ได้ขำจริงด้วย คือเวลาเราอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นที่แปลไทย บอกตรงๆ ส่วนใหญ่แปลมุขญี่ปุ่นมาแล้วแป๊กอ่ะ แต่เรื่องนี้แปลได้ฮาจริงๆ อ่านไปหัวเราะไป มีความสุขสุดๆ


ฉากในเมะ ทำได้ดีงานไม่เผา โอเคผ่าน

แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเรื่องจะเบาๆ ใสวิ้งๆ นะคะ บทจะหนักก็ทำคุณเสียน้ำตาได้นะเออ อย่างเล่มๆ แรกจะฮาเยอะหน่อย นอกเรื่องมากหน่อย หลังๆ จะเริ่มดราม่า เริ่มซีเครียด คนอ่านอ่านไปกลืนน้ำลายไปเอื้อกๆ ลุ้นตาม ขอชมท่านอาจารย์ Takashi Ikeda แกจริงๆ แต่งไปได้ยังไงเนี่ย หนักหน่วงทางอารมณ์สุดยอด (โดยไม่มีอะไรอีโรติกเลยด้วยซ้ำ เก่งม๊ากกกก!)

จริงๆ ช่วงเล่มหลังๆ (7 เป็นต้นไป) มันก็เริ่มออกทะเลนะ มีตัวละครอื่นโผล่มาแบบไม่จำเป็น เหมือนคล้ายจะยืดๆ เรื่อง แต่เราก็หยวนๆ อ่ะ เพราะมันสนุกลายเส้นสวยอยู่แล้ว ก็ยินดีให้ยืดไปเรื่อยๆ แต่คนอ่าน/ดู ทุกคนจะลุ้นตัวเอกทั้งสองว่าตกลงจะลงเอยกันอีหร่อบไหนอะไรยังไงมากกว่า 

ลายเส้นมังงะสวยเสมอต้นเสมอปลาย ประทับใจสุดๆ แบบอนิเมะก็ใช้ได้นะคะ ดีเลยแหละ งานไม่เผา ที่สำคัญเพลงประกอบไพเราะมาก แต่ฟังแล้วมันเศร้าๆ ไงไม่รู้แหะ T_T แต่ท่วงทำนองช่างเข้ากับเนื้องหาสุดๆ บรรยายความรู้สึกของการรักเค้าข้างเดียวผ่านเป็นเมโลดี้ได้เจ็บปวดรวดร้าวเสียจริง

เป็นมังงะที่อ่านแล้วสะเทือนอารมณ์มาก หลายๆ ฉากที่วาดทั้งที่ไม่มีอะไร หรือแม้กระทั่งคำพูดแต่กลับทรงพลัง นี่เป็นฉากหนึ่งที่ชอบ

สิ่งที่ประทับใจลักๆ คือ ตัวละครค่ะ real มาก ทั้งบุคคลิก ลักษณะนิสัย ความรู้สึก แต่งได้ real โคตรๆ อินแทน ลุ้นแทน เจ็บแทน! ฉากร้องไห้ทำได้สะเทือนอารมณ์+น่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ซิ แบบว่าเวลาตัวละครตัวไหนร้องไห้นี่บางทีกิน 2 หน้าเลย หรือ 1 หน้าเต็มเลยนะ ชัดจนรู้สึกขนลุก เราว่าอาจารย์แกเก่งในการถ่ายทอดฉากเศร้าๆ นะ ทำได้แบบรุนแรงดีจริงๆ ไม่กระมิดกระเมียน

ฉากจบก็ประทับใจระดับหนึ่ง ไม่ผิดหวัง ไม่จบห่วย ลวกหรือแย่ แต่ก็ไม่ได้ดีอย่างที่คาด เอาเป็นเราไม่คิดว่าฉากจบจะเขียนได้ขนาดนั้น คือนี่เป็นผู้ชายญี่ปุ่นแต่ง ต้องย้ำอย่างนี้ ชนชาติที่เราว่ามันน่าจะอนุรักษ์นิยมแท้ๆ แต่กลับแต่งจบได้โคตร Liberal สุดๆ กร๊ากกกก ขนลุกก็ตรงนี้ เฮ้ย! สปอยด์เปล่าเนี่ย ม่ายนะ ไม่ อิอิ ไปหาอ่านเองละกันแล้วจะเข้าใจ

คะแนน
อนิเมะ 8.5/10 ให้แค่ 8.5 เพราะมันดำเนินไปได้แค่ 2 เล่มของมังงะเอง เลยสื่ออารมณ์อันสุดยอดออกมาทั้งหมดไม่ได้ แต่การันตีว่าลายเส้นไม่เผา หามาดูได้เลยไม่ผิดหวัง OST เพราะเวอร์
มังงะ 9.5/10 ไม่ให้ 10 เต็มเพราะก็ยังมีข้อติอยู่หลายจุด หลังๆ ออกทะเลไปบ้าง จบได้ประทับใจแต่สามารถพีคได้กว่านี้อีก ไม่เพอร์เฟ็คเสียทีเดียว แต่เราเป็นคนให้คะแนนงกพอสมควรนะ 9.5 ถือว่าเยอะโคตรๆ แล้วค่ะ

สรุป ถ้าชอบยูริ จงไปหามาเสพโดยพลัน!

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กุหลาบของสิริน ความรักนั้นไซร้ไร้กฏเกณฑ์


สนพ.ปิงฟ้าวิลันดา
อ่านออนไลน์
อ่านตอนพิเศษ(ไม่มีในหนังสือ)

อ่านงานคุณราชา'วดีทีไร พอจะรีวิวได้แต่นั่งนิ่ง อึ้งๆ ต้องทำใจก่อนทุกที อืม..นวนิยายเรื่องที่สองนี้ให้ความรู้สึกต่างจากเรื่องแรกอย่าง ปิงฟ้าวิลันดา อยู่มากพอสมควร ทั้งที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายกันมากก็ตาม แต่ก็ต่างกันมากด้วยเช่นกัน

กุหลาบของสิรินเป็นเรื่องราวระหว่างจารึกและสิริน หญิงสองคนที่มีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของอายุ ที่ห่างกันมากเป็น 20 ปี หรือฐานะเองก็ดูจะไกลกันไม่แพ้อายุ และทั้งสองคนก็ยังเป็นครูและลูกศิษย์กันอีก โอ้..แค่นี้ก็ดูมันไม่น่าจะมีอะไรเป็นไปได้แล้ว โดยยังไม่ต้องไปย้ำซ้ำที่ว่านี่เป็นความรักระหว่างผู้หญิง!! เอ่อ..ฟังดูเหนื่อยพิกล ฮ่ะฮ่ะ

ถ้าใครมีโอกาสได้อ่านปิงฟ้าวิลันดาแล้วก็คงจะจำได้ว่าจารึกเป็นใคร เธอคือหลานสาวสุดรักของวิลันดาจากนวินิยายเล่มแรกปิงฟ้าวิลันดานั่นเองค่ะ อิอิ ตอนอ่านก็แอบตกใจ เพราะไม่คาดคิดว่าจะเอาตัวละครในเรื่องแรกมาเล่าเรื่องราวแยกต่อ แต่เป็นเรื่องที่เกิดหลังจากเล่มแรกนานเกือบ 20 ปีเชียวนะ ดังนั้นแปลว่าจะมีการพูดถึงตัวเอกจากเล่มแรกด้วย ถ้าไม่อยากโดนสปอยด์เรื่องราวเราแนะนำให้เริ่มอ่านปิงฟ้าวิลันดาก่อนเล่มนี้

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ เราใช้เวลานอ่านเล่มนวนิยายนี้นานกว่าที่ควรจะเป็น หมายถึงนานกว่ามาตราฐานปกติของตัวเอง ที่จริงถามว่าเรื่องนี้เศร้าไหม คือมันก็ไม่ใช่แบบเศร้ารันทดอะไรแบบนั้นนะ อย่างที่เราเคยรีวิวไปแล้วเอนทรี่ก่อนว่า งานของคุณราชา'วดีเนี่ยมันจะเล่นกับอารมณ์คนอ่านแบบซึมลึก ไม่รู้สึกอะไรรุนแรงในทีแรก แต่จะค่อยๆ ชัดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เราแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันอมเศร้า อมเทายังไงไม่รู้น่ะ มันเลยทำให้เราเหนื่อยๆ เวลาอ่าน

น่าแปลกที่ปิงฟ้าและวิลันดาเองก็มีอายุต่างกันเยอะพอๆ กับที่จารึกต่างกับสิรินแต่ทำไมเรากลับรู้สึกสงสารและเห็นใจจารึกมากกว่าวิลันดาอย่างมากก็ไม่รู้ ตอนอ่านปิงฟ้าฯ เราไม่เศร้าเลย เรายิ้มเยอะมาก มีความสุขสุดๆ ทั้งที่ก็มีเรื่องทุกข์ เรื่องเศร้ามากมาย แต่เราก็อิ่มอกอิ่มใจมากมายเช่นกัน แต่เรื่องนี้เราอ่านไปเศร้าไป ทั้งที่มันไม่ควรจะเศร้าขนาดนี้เลยด้วยซ้ำเขียนแบบนี้อย่าเพิ่งตกอกตกใจว่าเรื่องมันน่าหดหู่ขนาดนั้นเชียวเหรอ มันก็เปล่าหรอกค่ะ อย่าเพิ่งกลัว ฮ่ะฮ่ะ เพียงแต่เราแค่รู้สึกว่าความรักครั้งนี้มันช่างดูยากลำบากเหลือเกิน

พ่อของสิรินมีอาชีพขับสองแถว ส่วนแม่เป็นช่างเขียนลงลายเครื่องรัก สิรินมีพี่สาวคือสร้อยแก้วและน้องสาวสิริยา ส่วนจารึกนั้นเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนสิริน เป็นน้องคนเล็กในบรรดาพี่น้อง 5 คนของคุณแม่ฟองจันทร์ แน่นอนว่าฐานะคนทั้งคู่นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง (ต่างยิ่งกว่าปิงฟ้าและวิลันดาเยอะทีเดียว) แต่ไม่ว่าจะต่างกันแค่ไหนและอย่างไร ความรักก็คือความรัก และคุณครูจารึกจะได้รับกุหลาบสีแดงของสิรินทุกวันจันทร์

เรื่องราวนั้นกล่าวถึงตัวละครหลายตัวมาก ไม่ใช่แค่เพียงสิรินและจารึกเท่านั้น และอย่างที่เคยบอกว่าคุณราชา'วดีใส่ใจตัวละครทุกตัวอย่างเท่าเทียมกัน จนเผลอๆ บางทีคนอ่านแอบน้อยใจที่บางครั้งใส่ใจแทบจะพอๆ กับตัวเอก แต่ก็ด้วยทั้งหมดทั้งมวลมันเกี่ยวข้องกับการดำเนินเนื้อเรื่องค่ะ มันเป็นเหตุเป็นผล ดังนั้นกุหลาบของสิรินจึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนสองคน แต่มันมีทุกด้านดำเนินไปเฉกเช่นเดียวกับชีวิตคนจริงๆ มีการใส่สถานการณ์ลงไปให้สมจริง เช่น เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงปฏิวัติ (อีกครั้งที่ต้องบอกว่าไม่ต้องกังวลเรื่องกีฬาสี เพราะเป็นการพูดถึงเหตุการณ์ทั่วไปไม่ใช่การบอกฝ่ายไหนดีไม่ดี)

สิ่งที่เราประทับใจที่สุดก็คือ ความรักที่คนทั้งคู่มีให้กัน มันแหวกแหกออกจากกฏเกณฑ์แทบทุกข้อ อย่างที่เกริ่นๆ ไปในย่อหน้าแรกๆ เพราะทั้งจารึกและสิรินแตกต่างกันในหลายด้านที่ไม่ใช่แค่เพียงเพศเท่านั้น ความรักคนทั้งคู่มันดูแทบจะไม่มีวันเป็นไปได้เลย นี่คือสิ่งที่เรารุ้สึกประทับใจ และมันก็ทำให้เราเศร้าไปด้วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ งดงามแต่ก็เศร้า ทีจริงสาเหตุหนึ่งก็อาจจะเพราะด้วยบุคคลิกของสิรินต่างกับปิงฟ้าตรงที่ดูเฉยๆ นิ่งๆ ด้วยมั้งคะ ปิงฟ้าว่านิ่งแล้วสิรินนิ่งกว่าอีก แถมดื้อตาใสด้วย จริงอยู่ที่สิรินเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายแต่บางครั้งมันก็กึ่งๆ เหมือนเย็นชา(ในสายตาเรา) จุดนี้มั้งทำให้เราน้อยใจแทนจารึกหลายๆ ครั้ง

แต่เรื่องนี้ก็มีข้อติอยู่เหมือนกัน หลักๆ คือ พิมพ์ผิด น่าแปลกที่เล่มนี้พิมพ์ผิดเยอะพอสมควร มีพิมพ์ผิดสองแบบคือ ผิดแบบสะกดผิด กับพิมพ์ชื่อตัวละครผิด บางทีมีชื่อตัวละครจากปิงฟ้าฯ มาโผล่ทั้งที่ไม่เกี่ยวกันเลย เลยทำให้ขัดใจอยู่บ้าง และอีกครั้งที่เรารู้สึกว่าจบเร็วเกินไปอีกแล้ว! เฮ้อ..เรามักมากใช่ไหมเนี่ย ฮ่ะฮ่ะ

เชื่อไหมคะ เราอ่านงานของพี่วดี (ขออนุญาตเรียกพี่) แล้วเรานึกไปถึงงานของคุณ Sarah Waters เปล่าคะเราไม่ได้หมายถึงสำนวนการแต่งหรือแนวเรื่อง แต่เรานึกถึงว่าคงจะดีถ้ามีค่ายผู้จัดไหนสักค่ายทำละคร 3 ตอนพิเศษอย่างที่ BBC เคยทำให้กับโนเวลของคุณซาราห์บ้าง ทำกันอย่างอลังการงานสร้าง ประณีตและให้เกียรติในความรักของผู้อื่นสุดๆ แม้จะเป็นรักระหว่างผู้หญิงก็ตาม ไม่รู้ต้องรอเป็น 100 ปีรึเปล่า เอ..หรือเผลอๆ 100 ชาติก็ไม่รู้ซิ เฮ้อ..เราฝันลมๆ แล้งๆ ใช่ไหมนี่

สรุป กุหลาบของสิรินเป็นเรื่องรักที่กินใจ สะท้อนใจ สะเทือนใจ เรามาก (แบบซึมลึก) เราอ่านจบเรายังรู้สึกเศร้าอยู่เลยทั้งที่เรื่องราวมันก็ไม่ได้เศร๊าเศร้าอะไรขนาดนั้น ไม่ได้สปอยด์นะ แค่จะบอกว่าไม่ต้องกังวลไปค่ะ อ่านเถอะ ไม่ผิดหวังหรอก เราแค่อธิบายไม่ถูกแหะ เพราะในกุหลาบของสิรินมีเรื่องรักของคนหลายคู่นะคะไม่ใช่แค่ของสิรินและจารึก อาจจะเพราะแบบนั้นมั้งเราถึงได้รู้สึกเศร้า เพราะบางเรื่องมันก็เศร้าจริงๆ แต่เราก็ประทับใจในความงามของความรักของคนทุกคู่ อ่านจบก็ไปฟังเพลงบุพเพสันนิวาสด้วยนะจะได้อิน เพราะความรักนั้นไซร้ไร้กฏเกณฑ์ค่ะ..

ป.ล. วิจารณ์ปก มีสับสนนิดหน่อย เพราะปกที่เราอ่านไม่ใช่แบบด้านบนที่นำภาพมาลงนะ ของเรามันเป็นสีชมพูอมแดงและมีกุหลาบดอกใหญ่บนปก เราเลยเปรียบเทียบไม่ถูก แต่ถ้าดูๆ เราชอบปกแบบพื้นขาวมากกว่านะคะ แต่ปกพื้นหลังชมพูก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร เพียงแต่ก็ไม่ได้ปลื้มเป็นพิเศษ แต่สรุปเราถือว่าโอเคนะ

คะแนน 9/10 (เราไม่รู้จะพูดยังไงดีนะว่าเรารู้สึประทับใจกุหลาบของสิรินมากกว่าปิงฟ้าฯ ทั้งที่ให้คะแนนน้อยกว่า งงไหมคะ เราก็ง๊งงงตัวเอง เอาเป็นความประทับใจกับคะแนนมันไม่เกี่ยวกัน อิอิ)

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บายาวี 3 รักร้อน ร้อนรัก


บายาวี 3

ในที่สุดบายาวี 3 ก็มาถึงมือเราพร้อมที่คั่นหนังสือสุดเก๋ (ขอบอกว่าที่คั่นน่ารักม๊ากกกก) และด้วยเวลา(หรือจะบอกเป็นจำนวนชั่วโมงดี)ไม่นาน เราก็อ่านจบ จึงได้มาทำหน้าที่เจ้าของบล็อกที่ดีรีวิวกันต่อตามสัญญา อืม..มีคนอ่านบล็อกรึเปล่าเราก็ไม่รู้หรอกนะคะ แต่ถ้าเราได้อ่านหรือดู/ชมอะไรมาแล้ว เราก็อยากพูดถึง ชื่นชม ตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ อินพุตเมมโมรี่ไว้ในความทรงจำว่าได้เคยสัมผัสนั่นนี่นู่นมา ง่ายๆ ก็อยากระบายว่างั้นแหละ และทางที่ดีอ่านอะไรจบปั๊บต้องรีบรีวิวทันที ไม่งั้นโมเม้นท์นั่นจะเจือจางไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้นบางเรื่องที่ได้รับชม/อ่านมานานแล้ว ก็ถึงขั้นต้องขุดมาอ่าน/ชมใหม่กันเพื่อจะให้มันเข้าใจ ณ โมเม้นท์นั้นอย่างเต็มที่จริงๆ

เอนทรี่ก่อนๆ เราได้ให้คะแนนบายาวี 1 และ 2 ไปแล้ว แถมยังได้วิจารณ์(สงสัยเรียกด่ามากกว่า) ตัวเอกของเรื่องอย่างใบบุญไปเยอะพอสมควร แถมทิ้งท้ายไว้ด้วยซ้ำว่าต้องรอดูว่า บายาวี 3 จะทำให้เรารักใบบุญได้เสียทีไหม เป็นเรื่องน่าดีใจมากที่เราคงจะบอกได้อย่างเต็มปากว่าตอนนี้เราไม่เกลียดเธอแล้ว เย้ๆ! ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ไอ้รักไหมคงไม่ถึงขนาดนั้น ใบบุญไม่ใช่ตัวละครที่ตรงตามความชอบเราซักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยๆ ในภาค 3 เธอก็ทำให้เราหายเกลียดและเห็นใจ รวมถึงเริ่มเข้าใจได้มากขึ้นโข! ดีใจจริงๆ

ในภาคนี้แน่นอนว่าเนื้อหาต่อจากภาค 2 เริ่มต้นมาได้อย่างลุ้นระทึกสุดๆ! โอ้ว อ่านไปหัวใจจะวาย ด้วยจำนวน 478 หน้า เรากล้าพูดได้เลยว่าบายาวีแทบไม่แผ่วลงซักนิดเลยในเรื่องของความร้อนแรง! คือไม่ใช่ว่ามันร้อนแบบอีโรต่งอีโรติกอะไรหรอกนะ แต่ร้อนที่การประทะคารม อารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร เครื่องร้อนตั้งแต่ยังไม่เริ่มและแรงก็ไม่แผ่นจนถึงเส้นชัย ขนาดนั้นเลยทีเดียว เก่งมาก!

แต่ก็อีกนั่นล่ะ ที่เราคงต้องบอกว่าบายาวีเป็นนวนิยายที่เราอ่านแล้วรู้สึกเหนื่อยมาก(ๆๆๆ) เฮ้อ..มันเล่นกับอารมณ์คนอ่านเสียจนหัวปั้น อ่านไปอินไป โกรธไป โมโหไป ลุ้นไปกับตัวละครชนิดบรรทัดต่อบรรทัดเลย คล้ายจะเป็นบ้าเอาได้ง่ายๆ กร๊ากกก ไม่ขนาดนั้นค่ะ ก็ต้องยกย่องความเก่งให้คุณลลนลเธอล่ะ ที่แต่งจนคนอ่านอินจัดไม่จบได้ง่ายๆ แบบนี้

สิ่งที่ประทับใจในภาคนี้เห็นจะเป็นความเปลี่ยนแปลงของใบบุญ! ที่จริงเธอก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมคือวีน(งี่เง่า)เหมือนเดิมอยู่นั่นแหละค่ะ แต่ภาคนี้ดูจะรู้ตัว&สำนึกได้มากขึ้น แถมบางบทบางตอน ยังทำให้เราใจอ่อนแอบเผลอรักไปนิดๆ จนได้ ฮ่าฮ่า บทจะทำตัวน่ารักก็เล่นเอาเกลียดไม่ลงกันเลยทีเดียว และภาคนี้ผู้เขียนก็ทำให้เราเข้าใจเธอมากขึ้นว่าเพราะเหตุใดใบบุญจึงเป็นคนแบบนี้ ก็อืม ต้องทดสอบตัวเองไปด้วยที่จะเปิดใจรับคนที่แตกต่างให้ได้ เราก็รู้สึกว่าเราได้อะไรจากบายาวีไปมากกว่าความสนุกเหมือนกัน

อีกอย่างไม่ใช่แค่ใบบุญแต่ดูตัวละครอื่นๆ ก็เปลี่ยนแปลงเหมือนกัน เรียกว่าพัฒนาในทางที่ดีขึ้น โตขึ้น ทำให้เราอ่านได้อย่างสบายใจได้มากขึ้น ตัวละครงี่เง่าได้น่ารักขึ้น คือก็ไม่เลิกงี่เง่าหรอก แต่จัดการความงี่เง่าของตัวเองได้ ก็ถือว่าโอเค เบลล์ภาคนี้ก็ทำให้ชื่นใจขึ้นนะ กล้าหือบ้างอะไรบ้าง แถมบัวตองก็ดูจะโตขึ้นบ้าง? ลุ้นน้องคนเล็กเหนื่อยจริงๆ โฟร์ทเองก็ดูอ่อนโยนขึ้น แต่ไม่อยากสปอยด์อ่ะ (นี่ขนาดไม่สปอยด์นะ ฮ่าฮ่าฮ่า) จะไม่ลงรายละเอียดอยากรู้คงต้องไปอ่านเองว่าเปลี่ยนยังไง

คือถ้าจะให้เปรียบนะบายาวี 3 เหมือนรถไฟเหอะตีลังกาที่มันขึ้นๆ ลงๆ มีม้วนให้ไส้กิ่วหน้าเหวอแทบจะตลอดเวลา จะมีจุดพักให้คลายเครียดได้บ้างไม่ทันไรก็ดันเจอโลปเกลียวหักศอกไปซะจุกจนต้องหาที่ยึดเลยขนาดนั้น แต่นั่นแหละ เสน่ห์ของบายาวี! มันดิบ มันแรงส์ มันร้อน มันเผ็ด ถึงใจแบบนี้แหละ ทำให้เราทั้งรักทั้งเกลียดได้ในเวลาเดียวกัน อ่านไปก็เหนื่อย(ใจ)ไปแต่ก็หยุดอ่านไม่ได้ มันสนุกขั้นนั้น

ไม่น่าเชื่อนะว่าในบรรดาทั้ง 3 ภาค ภาค 3 จะทำให้เราประทับใจมากที่สุด ชนะภาค 1 ได้อย่างขาดลอย ส่วนใหญ่ถ้าเป็นหนังไตรภาคภาค 3 งี้แป๊กทุกทีไม่ค่อยมีอะไรสู้ออริจินัลได้เลยอ่ะ แต่บายาวี 3 ทำได้ และเราก็แอบหวังลึกๆ ที่จะได้เห็นภาค 4 ภาค 5 ตามออกมาอีกด้วย ก็คงต้องอยู่ที่ผู้เขียนว่าจะเบื่อไปเสียก่อนหรือเปล่า ขนาดคนอ่านอ่านยังเหนื่อยขนาดนี้ คนแต่งน่าจะเหนื่อยกว่าเยอะ แต่มั่นใจได้ว่าแบรนด์นี้ติดตลาดไปแล้ว ออกมายังไงก็มีคนซื้อแน่นอน นับเราล่วงหน้าไว้ได้เลย!

แต่ภาค 3 คุณลลนลเธอพิมพ์จำหน่ายเองนะคะ หมายถึงไม่ได้ผ่านคัมออนอย่าง 2 ภาคแรก แอบใจหายอยู่เหมือนกันว่าวงการหนังสือยูริบ้านเรามันจะก้าวหน้าไปได้บ้างไหม นึกแล้วก็น่าใจหาย นี่ถ้าจะไม่มีหนังสือจากคัมออนออกมาอีกจริงอย่างที่เคยได้ยินลือๆ มาล่ะก็ มันก็น่าเสียดาย เฮ้อ เข้าใจว่าเป็นเรื่องของธุรกิจ(และไม่รู้รวมถึงอคติต่อเพศที่ 3 ด้วยรึเปล่า) และจำนวนคนอ่านในบ้านเราเราไม่แน่ใจว่ามันจะพอให้อยู่รอดได้ไหม เพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่าราคาหนังสือบ้านเรามีราคาแพงมากจริงๆ ถ้าเทียบกับค่าครองชีพคนคนไทยตามมาตราฐาน เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ นี่ไม่ต้องพูดไปถึงว่าจะมีนิยายยูริซักเรื่องได้ชิงรางวัลอะไรเลยนะ แค่จะเอาให้รอดในโลกธุรกิจยังดูลำบากขนาดนี้ แต่ก็นะคะเราคนหนึ่งล่ะจะยังคงสนับสนุนต่อไป ใครสนใจก็ไปซื้อกันได้ที่ลิงค์ใต้ภาพได้เลยนะคะ ถือว่าอุดหนุนนักเขียนให้มีแรงเขียนเล่มต่อๆ ไป

อ้อ! ชมและออกนอกเรื่องกันไปนาน ขอติหน่อย สิ่งที่เราเสียดายมากถึงมากที่สุด ก็คือตัวละครอย่างบัวตอง หรือ โฟร์ท กลับมีเรื่องราวกล่าวถึงน้อยมากในภาคนี้ ทั้งที่แต่แรกเรานึกว่าคงจะถูกกล่าวถึงเต็มๆ เสียด้วยซ้ำ ด้วยเราคิดว่าเรื่องของใบบุญและฤชุดาอาจถึงทางตัน แต่ก็เปล่าเลยเพราะทั้งสองคนยังมีเรื่องน่าสนใจให้พูดถึงได้ตลอดทั้งเรื่อง แต่เราเสียดายน่ะ ทุกครั้งที่ถึงคิวสองสาวตัวประกอบนี้เราได้ยิ้มมุมปากทุกที เป็นตัวละครที่งี่เง่าได้น่าร๊ากน่าชังจริงๆ และยิ่งน่าเสียดายหนักไปอีกเพราะในที่สุดเรื่องของสองคนนี้ก็ยังไม่ชัดเจน จนบางทีงงว่าตกลงคนเขียนลืมไปหรือเปล่าว่ายังมีสองคนนี้อยู่? นี้คงเป็นจุดเสียเดียวของบายาวี 3 ที่นึกออก

สรุป บายาวี 3 ประสบความสำเร็จในการเรียกความประทับใจเรากลับคืนมาจากภาค 2 ได้ในที่สุด แถมเรารักมากกว่าภาค 1 อีก (ยืน standing ovation 1 นาที) แม้มันจะมีจุดบกพร่องบางจุดที่ทำให้เราขัดใจไปบ้าง แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบายาวีเป็นเรื่องของคนที่รักร้อน และคนที่ร้อนรัก ใครรักใครร้อนหรือทั้งรักทั้งร้อนไปหาอ่านกันเองนะคะ แต่กล้าพูดได้ว่าคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอน

ป.ล.ตามธรรมเนียนวิจารณ์ปก ในบรรดา 3 ภาค ชอบปกภาค 2 มากที่สุด ลงตัวสุดและเข้ากับเนื้อหามากที่สุด ภาค 3 นี่คือถ้าไม่เคยอ่านบายาวีมาก่อนเราไม่แน่ใจว่าคนจะเก็ตไหม เพราะมันดูไม่เข้ากับเรื่องราวหรือตัวละครเลย ผิดแผกไปจากสิ้นเชิงสุดๆ แต่ก็ชอบมากกว่าปกภาค 1 เราว่าปกภาค 3 ออกแนวอินดี้ เก๋ๆ ดี คือจริงๆ ดูไปก็คล้ายหน้าปกสมุด notebook ธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่มันก็น่ารักในแบบของตัวเอง ประมาณนั้น แต่ส่วนตัวชอบปกที่ไม่เยอะนะ simpleๆ อ้อ! หน้าปกยังง่ายต่อการพกพาอย่างสบายใจ ฮ่ะฮ่ะ

คะแนน 8.5/10 (อีกนิสสสเดียวได้ 9 แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเรื่องของโฟร์ทและบัวตองมันดูลวกๆ รีบๆ ลืมๆ เกินไปล่ะก็นะ)

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รีวิวปิงฟ้าวิลันดา นวนิยายแสนรักของราชา'วดี


สนพ.ปิงฟ้าวิลันดา

อืม..ก่อนรีวิวขอตั้งสตินิดหนึ่ง ..ฟิ้ว..(เสียงถอนใจ) ฮ่ะฮ่ะ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ บ้าเล่นมุขไปงั้น เอาล่ะเข้าสู่เนื้อหากันเลยดีกว่า เราไม่แน่ใจว่าในวงการนวนิยายยูริจะมีกี่คนที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินนามปากกา ราชา'วดี หรือ นวนิยายเรื่อง ปิงฟ้าวิลันดา เราเชื่อว่าแม้จะไม่เคยอ่านแต่ก็น่าจะเคยได้ยินกันมาบ้าง(ต้องเคยได้ยินซิ! ตำนานเลยนะ!) แต่ที่จริงมันก็คงจะมีล่ะนะ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ อาจจะไม่ทัน แต่มันก็ไม่ได้นานขนาดนั้น..ก็พิมพ์ปี 2547 ก็ 7 กว่าปีเองค่ะ ฮ่ะฮ่ะ ที่จริงแค่คำว่ายูริเองก็เถอะ แค่ศัพท์นี้มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ทันนวนิยายเรื่องนี้แล้ว แต่ที่เราใช้ชื่อบล็อกนี้อาจเพราะเราเคยชินและใกล้ชิดกับอนิเมะและมังงะมากกว่ามั้งคะ เราเลยเหมาทุกอย่างทั้งหนังทั้งเรื่องแต่งเป็นยูริไปให้เข้าใจง่ายเลย พล่ามเยอะแล้วเข้าเรื่องดีกว่า

ปิงฟ้าวิลันดา เป็นเรื่องราวของคนสองคน ที่ช่างแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นอายุ หรือฐานะ ระหว่างจิตกรสาวปิงฟ้า กับเศรษฐีนีชาวเหนือวิลันดา ดูเอาเถอะ แค่ชื่อเราก็ปลื้มแล้ว โอ๊ย..ชื่อตัวละครก็เอามาต่อเรียงร้อยให้เข้ากันอย่างไพเราะได้ และนี่เป็นตัวอย่างของหน้าก่อนเปิดเรื่องสารจากผู้แต่งคุณราชา'วดี
ฉันเขียนหนังสือด้วยหัวใจ
และซุกซ่อนทุกอย่างที่ปรารถนาเอาไว้ในตัวอักษร
ฉันฝังรหัสลับเอาไว้ในแต่ละบทตอน
ให้ใครบางคนค้นหา

ฉันเขียนหนังสือเล่มนี้..ด้วยความรัก..
ราชา'วดี
จะว่าเวอร์ก็ได้นะ แต่แค่เราอ่านก็ขนลุกเกรียวไปด้วยรู้สึกว่ามันต้องเป็นนวนิยายที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่งแน่ ทั้งที่เรายังไม่ได้เปิดอ่านตอนแรกด้วยซ้ำ! เอ้อ เอากับเขาซิ ท่าจะบ้า ฮ่ะฮ่ะ ทั้งที่จริงแล้วเรื่องนี้สามารถอ่านได้ฟรีนะคะ นักเขียนใจกว้างมากๆ ใครสนใจสามารถไปอ่านได้ที่ ลิงค์นี้ ได้เลยค่ะ แต่ก็อยากให้สนับสนุนกันเยอะๆ จังค่ะ เล่มละ 350 บาท ส่วนเล่มที่มีตำหนิ(เล็กน้อย)ขายเพียงเล่มละ 250 เท่านั้น! (ผู้แต่งพิมพ์และจัดจำหน่ายเองนะคะ ไม่ผ่านสายส่ง ซื้อได้ที่ลิงค์สนพ.ปิงฟ้าฯ ลิงค์ใต้รูปได้เลยค่ะ) ก็อย่างที่บอกทั้งที่สามารถอ่านได้ฟรีแต่เราก็ไม่ได้มีโอกาสอ่าน ก็เป็นงี้ประจำ อะไรดังๆ นิยมๆ เราเหมือนจะต่อต้านกลายๆ ง่ะ ท่าจะโรคจิต แต่แล้วก็ได้อ่านอยู่ดี

และเมื่อได้อ่านแล้วเราก็พบว่า..ใช่ นวินิยายเรื่องนี้ดีจริงๆ โปรดสังเกตคำที่ใช้ด้วยนะคะ เราบอกว่าดี สำหรับเราดีกับสนุกต่างกันนะ เรื่องบางเรื่องสนุกแต่ไม่ได้แปลว่าดี และเรื่องดีบางเรื่องไม่จำเป็นต้องสนุก (หนังสือรางวัลที่จัดอยู่ในขั้นว่า 'ดี' หลายเรื่องไม่ 'สนุก' สักนิดเดียว อาทิ ลองไปอ่านคำพิพากษาของ ชาติ กอบจิตติ ซิคะ เป็นหนังสือที่ดีมากแต่ห่างไกลกับคำว่าสนุกอย่างมองกันไม่เห็น) สำหรับเราเรื่องปิงฟ้าวิลันดาจัดเป็นหนังสือที่ 'ดี' ขึ้นหิ้ง(ส่วนตัวเรา)ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่สนุกหรอกนะคะ ที่จริงมันก็สนุกในแบบหนึ่ง ที่อาจไม่ได้บันเทิงทางอารมณ์โรแมนซ์มากมายเช่นเรื่องอื่นๆ ที่เราเคยอ่าน

ตั้งแต่ตัวอักษรแรกของบทที่ 1 จนถึงอักษรสุดท้ายในบทอวสาร เราเชื่อจริงๆ ว่านี่เป็นนวนิยายแสนรักของคุณราชา'วดี และเธอเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยความรัก เรารับรู้ได้ถึงความใส่ใจที่มีต่อทุกตัวอักษรหรือทุกตัวละครอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงความสละสลวยของภาษาที่ใช้ และถึงความพิธีพิธันใส่ใจในทุกเรื่องราว จนเรารู้สึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นราวกับเคยและหรือกำลังเกิดขึ้นจริงๆ วิลันดากับปิงฟ้ามีตัวตนจริงๆ ในที่ไหนสักแห่ง! มันสมจริงถึงขั้นนั้น

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านวนิยายเรื่องนี้จะไม่มีข้อบกพร่องหรือเราไม่มีข้อติอะไรหรอกนะคะ เราเองก็ไม่ชอบอะไรที่มันไม่สามารถติได้ เราเชื่อว่าทุกเรื่องต้องสามารถวิพาษ์วิจารณ์ได้ และเราก็เป็นพวกลูกคุณช่างติด้วยซิ เหอๆ เพียงแต่ว่าข้อดีและความประทับใจของนิวนิยายเรื่องนี้มันเด่นจนกลบ กลบจนเรายอมที่จะมองข้ามตำหนิเหล่านั้นไปได้มากกว่า มาเข้าเรื่องสิ่งที่ประทับใจดีกว่า

เราประทับใจการใช้ภาษามากๆ มันเป็นภาษาที่เราไม่ค่อยคุ้น และผู้แต่งใช้ภาษาคำเมือง (ภาษาเหนือ) สอดแทรกบ่อยๆ ก็ แหม เรื่องราวและตัวละครเกี่ยวข้องกับภาคเหนือนี่คะ และมันเป็นจุดแข็งที่ทำให้เราชอบใจมาก คือเราอยากอ่านอะไรที่มันแตกต่างหลากหลาย เราอยากเรียนรู้วัฒนธรรมที่ไม่ใช่แค่ของภาคกลาง และอยากอ่านเรื่องราวที่มันมีอะไรมากกว่าแค่เรื่องรักระหว่างคนสองคน ซึ่งเรื่องนี้ทำได้ และทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ ด้วย ว่าแต่จะว่าไป..นักเขียนยูริที่เราชอบหลายคนก็มาจากทางภาคเหนือนะ แปลกจัง ทั้งคุณเบนต์ คุณอาคาริ บังเอิญไปไหม ^^"a

เรารู้สึกว่าผู้เขียนมีความรู้หลากหลาย มีประสบการณ์มาก และเข้าใจชีวิต มันสะท้อนออกมาจากเนื้อหาแต่ละบรรทัด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ศิลปะ สถานที่ (ที่ไม่ได้มีแค่ประเทศไทยหรือแค่กรุงเทพฯ) การเปรียบเปรย เรารู้สึกว่าเราได้ความรู้ตามไปด้วย และที่สำคัญที่สุดเรารู้สึกว่าผู้เขียนดูจะมีความรู้ด้านจิตวิทยาอยู่บ้าง มันแสดงออกมาจากตัวละครที่ดูมีมิติชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง พ่อแม่ เพื่อนข้างบ้าน ญาติๆ หรือคนรับใช้ คนงาน ไม่ว่าจะใคร แม้จะไม่ใช่ตัวละครเด่นแต่ก็ไม่ได้ถูกปล่อยละเลยไปเลย เรารู้สึกว่าผู้เขียนใส่ใจที่จะใส่ใจจิตใจของตัวละครแต่ละตัว ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ทอมหรือดี้ กระเทยตุ๊ดหรือเกย์ จะใคร เป็นคนสถานะใดก็ตาม อีกอย่างเรื่องนี้เราจะได้เห็นการเรียนรู้เติบโตของตัวละครได้ชัดเจน ก็นะ เล่ากันแต่เด็กเลย (ก็ไม่เด็กหรอก ทีนเอจๆ)

และที่ประทับใจคือเรารู้สึกว่าทั้งปิงฟ้าและวิลันดามีความรักต่อกันจากสิ่ง ที่อยู่ภายในไม่ใช่ภายนอก ไม่ใช่หลงที่เปลือกนอก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ฐานะ สถานะ หรือเพศ แต่ทั้งสองประทับใจกันตรงที่สิ่งที่อยู่ภายในมากกว่า นั่นมันทำให้เรารู้สึกว่างดงามและบริสุทธิ์

ข้อเสียเดียวที่เรามีให้ได้ก็คือเรารู้สึกว่ามันจบไวเกินไป ท้ายๆ เหมือนเร่งไวไปนิด เรายังไม่รู้สึกว่ามันควรจะจบ คือไม่ใช่จบไม่ดีหรืออะไรนะ แคว่ามันจบแบบเร็วเกินในความรู้สึก ทั้งที่ปูทุกอย่างมาหลายร้อยหน้าขนาดนั้น บทจะจบ อ้าว..จบแล้ว?! ทั้งที่ด้วยจำนวน 580 หน้ามันไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ในนิยายไทยเลยแท้ๆ แต่เรากลับรู้สึกว่ามันน้อยเกินไปอยู่ดี มีอีกสักสิบหน้าได้ไหม พลีส ให้มันสาใจกว่านี้ ชื่นใจกว่านี้ก่อน นี้คงเป็นข้อเสียเดียวที่เรานับได้(จริงๆ) อ้อ! อีกอย่าง การเล่าเรื่องบางครั้งอาจจะดูงงๆ ไปบ้าง เพราะมันจะสลับกันไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน

อ่านปิงฟ้าวิลันดาแล้วมีความสุขค่ะ มันอิ่น จุก ความงามของตัวอักษรมาก มัน..โอ๊ย บอกยาก เอ่อล้นมากกกก อ่านกันเองเถอะ นะๆๆๆ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ คือแต่ถ้าคุณจะอ่านก็ต้องทำความเข้าใจก่อนนะคะว่าปิงฟ้าวิลันดาไม่ใช่อะไรที่มันสำเร็จรูป คือมันไม่รวดเร็ว ไม่ปัจจุบันทันด่วน ไม่รีบ (อาจ)ไม่ทันใจ มันอ้อยอิ่ง เนิ่บนาบ ไม่พลีพลามอย่างมากๆ! แต่เรากลับชอบอย่างบอกไม่ถูก (ทั้งที่ปกติเราออกจะใจร้อน) อีกอย่างเราไม่รู้สึกอะไรรุนแรงมากในขณะอ่าน ทุกอย่างมันรู้สึกแบบซึมลึกอ่ะ อย่างบางเรื่องเศร้าจัดร้องไห้โห บางเรื่องฮาแตกขำกลิ้ง แต่เรื่องนี้ทุกอารมณ์มันจะเหมือนค่อยๆ ซึมไปช้าๆ ไม่มีอะไรโฮกฮากแต่ว่าก็หยุดอ่านไม่ได้ ประเภทซึมลึกและอยู่นาน และพอนานไปก็จะรู้สึกได้ชัดเจน ขนาดที่พอจบแล้วคุณก็ยังจะจำเรื่องต่างๆ อยู่ได้ มันลึกซึ้งขนาดนั้น

น่าแปลกที่เราพูดราวกับว่าปิงฟ้าวิลันดาเป็นเรื่องรักที่หวานหยดหย้อย ยูโทเปียสุดๆ จริงๆ ไม่ใช่หรอกนะคะ กลับกันมันเป็นเรื่องรักที่สมจริง เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต มีเจ็บปวด มีเรียนรู้ มีผิดหวัง หดหู่ ซึมเศร้า รวดร้าว ผลัดพราก มันมีทุกอารมณ์ จะสุขหรือทุกข์ก็ตาม เพียงแต่ผู้แต่งถ่ายทอดอารมณ์เหล่านั้นออกมาได้งามสุดๆ เท่านั้นเอ๊ง! ฮ่ะฮ่ะ

สรุป เราอยากให้ลองไปหากันมาอ่าน ที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักอ่านสายยูริด้วยซ้ำ สำหรับคนที่อ่านเรื่องชายหญิงก็สามารถจะอ่านได้ ขอเพียงคุณเปิดใจเท่านั้น เพราะเรื่องราวความรักระหว่างปิงฟ้าและวิลันดามันงดงาม สวยงามเกินกว่าจะแบ่งแยกว่าเฉพาะของคนกลุ่มใด ไม่ว่าจะใครก็ควรจะได้อ่านงานดีๆ เช่นเรื่องนี้

ป.ล.เป็นปกที่ช่างเรียบร้อยและใช้อะไรน้อยจริงๆ ใช้ภาพน้อย สีน้อย ตัวอักษรน้อย แต่กลับโดดเด่นสุดๆ และดูคลาสสิกสุดๆ เฮ้อ ขนาดปกเรายังหลงรักเลยคิดดู :)

คะแนน 10/10

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รีวิวบายาวีแบบดูโอ้ เล่ม 1-2 นิยายร้อนเปรียบดั่งแกงเผ็ดหม้อใหญ่



บายาวี ล.1
บายาวี ล.2

อะแฮ่ม วันนี้จะมารีวิวนิยายอีกเรื่อง (เรื่องนี้ได้ข่าวว่าดังมาก) จะไม่ดังได้ไงคะ ก็เล่นออกมาตั้งสามภาค แล้ว! ขึดเส้นใต้ให้เห็นเด่นๆ กันชัดๆ จะมีนิยายซักกี่เรื่องในบ้านเราโดยเฉพาะยูริที่จะออกกันเป็นทริปเปิ้ลได้ขนาดนี้ คำตอบก็คือก็บายาวีนี่แหละค่ะ เอาล่ะไม่รอช้าเข้าสู่เนื้อหากันเลย อ่ะ จะว่าไปที่จริงเรารอเล่ม 3 อยู่นะ ก็เลยแก้เบื่อโดยการเอาสองเล่มที่แล้วมารีวิวรอฆ่าเวลาเล่น

ถ้าให้สรุปเนื้อเรื่องสามบรรทัดสั้นๆ จะได้ว่า บายาวีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรับจ๊อบแปลกๆ ของนักเขียนสาวฤชุดา (เบลล์) ที่เดินทางไปบายาวีรีสอร์ทเพื่อทำให้เจ้าของรีสอร์ท ใบบุญ ตกหลุกรักเธอให้ได้ โดยที่เป้าหมายของผู้ว่าจ้างก็คือการแก้แค้น แค่นี้แหละค่ะพล็อตของบายาวี (จริงๆ) แต่นักเขียนเก่ง อันนี้ต้องชมตรงๆ คุณลลนลเก่งในการขยายความและขยายเรื่องต่อให้มันยาวไปได้ถึงภาค 3

ส่วนภาคสองนั้นจะมีตัวละครเพิ่มเติมเข้ามาคือ ภูชิตา หรือ โฟร์ท น้องสาวภูวดล ชายหนุ่มที่ตามจีบใบบุญมาตั้งแต่ภาคแรก ซึ่งเรื่องราวจะโฟกัสมาที่ตัวละครใหม่ตัวนี้กับบัวตองหลานสาวของใบบุญมากขึ้น ถ้าเทียบกันแล้วเราว่าภาคแรกกลมกล่อมกว่า (เผ็ดแบบควบคุมได้) แต่ภาคสองเราว่ามันเผ็ดเกินไปแบบโด่เด่ เราไม่ประทับใจเท่าภาคแรก ลุ้นอยู่ว่าภาคสามจะทำให้เรากลับมาประทับใจได้อีกไหม

เชื่อไหมคะทั้งที่รู้ว่าบายาวีดังแค่ไหน แต่เราก็ไม่ได้สนใจจะไปหามาอ่าน ตอนไปงานหนังสือก็เห็นโชว์หลาแต่ก็ไม่ได้คิดจะซื้อ แต่ไม่รู้ไงนะที่ตัดสินใจลองเข้าไปอ่านในเด็กดีแล้วรู้สึกติดใจจนต้องซื้อเป็นเล่มจนได้และก็ตามมาด้วยภาคสองโดยปริยาย เราอ่านนิยายเรื่องนี้ด้วยความรุ้สึกที่บอกไม่ถูกเป็นอย่างยิ่ง ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าตกใจเราไม่ได้บอกว่ามันไม่สนุกนะคะ ผิดถนัดที่จริงเราติดหนึบหนับเลยมากกว่า

บายาวีเปรียบเสมือนแกงเผ็ดหม้อใหญ่ (จะแกงไตปลาหรือแกงเหลืองก็แล้วแต่ชอบ) เคยไหมกินเผ็ดจนปากเจ็บแต่ก็เลิกกินไม่ได้เพราะอร่อยแม้จะทรมาน นั่นล่ะคือคำจำกัดความของบายาวีเลย มันเผ็ดร้อนทั้งพล็อต(ว่าด้วยเรื่องการหลอกลวง แก้แค้น) และเผ็ดทั้งบทพูดของตัวละครด้วยลักษณะนิสัย คุณจะพบว่าเวลาผ่านไปไวมากในการอ่านนิยายเรื่องนี้ของคุณลลนล คือเราก็เคยอ่านงานของคุณลลนลมาหลายเล่มแล้วนะ แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าหน้ามันพร่องไปไวขนาดนี้ จำนวนหน้าช่างน้อยเหลือเกินเผลอแป๊บเดียว อ้าว! จบแล้วเหรอ อย่าเพิ่งซิ ยังไม่สะใจเลย นั่นคือความรู้สึกที่คุณจะได้จากการอ่านบายาวี มันวางไม่ลงถึงขั้นนั้นจริงๆ เราคอนเฟิร์ม

แต่! ใช่ค่ะมีแต่ บายาวีมีข้อเสียบางประการที่ทำให้เราไม่สามารถรักมันได้เต็มๆ ขอย้อนเล็กน้อย ถ้าจำกันได้ในเอ็นทรี่ก่อนเราเคยบอกไปแล้วว่าเราไม่ชอบตัวละครประเภทที่ 'ชอบดูถูก(ดูแคลน)คนอื่น' อ่านประโยคนี้ดีๆ นะคะ มันต่างกันมากกับตัวละครที่ปากไม่ดี (หรือปากหมานั่นเอง) เราไม่ได้เกลียดคนปากมอม จะว่าไปตัวละครตัวหนึ่งที่เราแทบจะเรียกได้ว่าหลงรักนั่นก็คือนายแพทย์เกรกอรี เฮาส์ หรือหมอเฮ้าส์ นักบุญปากร้ายแห่งซีรี่ส์ House M.D. นั่นเอง เราไม่มีปัญหากับคนที่ปากโฮ่งๆ ถ้าจิตใจคนๆ นั้นดี 

เขียนมาถึงขนาดนี้บางคนคงตกใจว่ามีตัวละครไหนในเรื่องบายาวีที่จิตใจเลวงั้นเหรอ ที่จริงมันก็ไม่มีหรอกค่ะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เพียงแต่จากการติดตามอ่านมาจนถึงภาค 2 เราก็ยังหาข้อที่จะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอกเจ้าของรีสอร์ทอย่างใบบุญไม่ได้เลยสักกระพีกเดียว คือ ขอโทษนะ แต่แค่สวยมันไม่ได้ทำให้เรามองคนๆ นั้นเหนือคนได้หรอก เราไม่ได้หลงหรือประทับใจใครที่รูปกายภายนอก (มันก็มีบ้าง แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก) ถ้าเราจะประทับใจใครส่วนใหญ่ต้องมาจากข้างใน มาจากความคิด ทัศนคติมากกว่า ซึ่งสำหรับเราใบบุญสอบตกในแทบทุกด้าน บางครั้งก็งงว่าทำไมทุกคนถึงได้หลงเธอกันหมด ถ้าเพราะแค่ความสวยอย่างเดียวมันดูไม่เมคเซนส์เลย

ที่จริงตัวละครประเภทปากอย่างใจอย่าง แข็งนอกอ่อนในถือว่ามีเสน่ห์ โดยเฉพาะเรื่องรักๆ เนี่ยนางเอกส่วนใหญ่ก็จะมีลักษณะนี้ แต่มันต้องอยู่ในขอบเขตที่จะไม่เลยเส้นคำว่า 'งี่เง่า' คือใบบุญมีลักษณะคล้ายสาวซึน แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ไร้เหตุผล+งี่เง่าและน่ารำคาญกว่า มันคงจะดีกว่าถ้าใครในเรื่องจะกล้าหือกับเธอมากกว่านี้ อาจจะทอนความน่ารำคาญเธอลดลงได้ เสียดายที่ไม่มี เธอเลยดูเป็นคนที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย เขียนมาขนาดนี้แฟนคลับใบบุญอาจไม่พอใจ ซึ่งจุดนี้มันก็คงจะแล้วแต่รสนิยมของแต่ละคนนะคะ คุณมีสิทธิ์ชอบเหมือนที่เรามีสิทธิ์เกลียด 1 คน 1 สิทธิ์นะคะ ที่จริงเราออกจะสงสารเธอด้วยซ้ำที่มาทำให้เราไม่ชอบหน้าได้ขนาดนี้ อันนี้ก็ต้องชมคนแต่งที่แต่งให้เราอินจัดมาก จะว่ากันตามจริงเราชอบใบบุญภาคแรกมากกว่าภาค 2 นะ ภาคแรกยังมีมุมที่เรารู้สึกว่าเธอก็น่ารักและรู้ถึงความงี่เง่าของตัวเองมากกว่าภาค 2 ที่เกินไปในหลายจุด ต้องรอดูว่าภาค 3 เธอจะทำให้เรารักได้เสียทีไหม

อีกทั้งเราพบว่าตัวละครอื่นๆ หลายครั้งก็ทำตัวงี่เง่าไม่ต่างกัน อ่านไปบางครั้งก็เหนื่อยนะ จะงี่เง่ากันไปถึงไหน ไม่ว่าจะเป็นหลานสาวใบบุญบัวตองหรือฤชุดานักเขียนนางเอกของเราก็เถอะ ถ้าจะให้พูดตรงๆ แล้วตัวละครที่เราดูจะประทับใจมากที่สุดเห็นจะเป็นภูชิตาในภาค 2 เธอไม่ใช่คนดีอะไรนะ เธอก็สั้นๆ ห้วนๆ แต่เราว่าเธอตรงๆ ดีน่ะ และงี่เง่าในระดับที่เรารับได้ (อันนี้ต้องรออ่านภาค 3 อีกที) ถึงเราจะบ่นเยอะแต่เราก็ไม่ได้เลิกอ่าน จะให้พูดตรงๆ ก็คือมันน้ำเน่าแต่สนุกนั่นเอง เป็น guilty pleasure ส่วนตัวของเรา ยกไว้ให้เรื่องหนึ่ง (นี่ชมนะคะ) 

ข้อเสียอีกข้อคือ เราพบว่าการใช้ภาษานั้นค่อนข้างทำขัดใจเราพอสมควร ที่จริงไม่ใช่แค่บายาวีนะ (ตอนอ่านมนต์รักหัวใจลูกทุ่งเราก็รู้สึก) คือเราไม่ชอบสรรพนามการใช้เรียกคนอื่นแบบหยาบๆ ไม่ว่าจะเป็นคนใช้ คนงาน ลูกจ้าง คนอ้วน คนหน้าตาไม่ดี หรือคนไม่ค่อยฉลาด ที่ใช้เรียกแบบจิกๆ ตลกโปกฮา เหยียดๆ แกมดูถูก เข้าใจว่ามันเป็นตัวละครแต่จุดนี้อ่านไปก็กุมขมับไป ทำให้ยิ้มไม่ออกอยู่หลายครั้ง ก็ไม่ใช่ว่าจะมาเรียกร้องความเท่าเทียมของมนุษย์ผ่านนิยายหรือว่าอะไร แค่เพียงเราพบว่ามันทำให้เราอึดอัดเวลาอ่านมากๆ

แต่บายาวีก็มีข้อดีตรงที่มันแรง ดิบ และสะใจ อาจเหมาะกับสาวกฮาร์ดคอร์? ที่ต้องการเรื่องรักประเภทพ่อแง่แม่งอนแบบรักแรงหึงแรงเวอร์ชั่นยูริ บทจะงอนก็งอนกันโลกจะแตก บทจะดีกันก็หวานจนนางพญามดเรียกหม่อมแม่ได้เลยประมาณนั้น แต่ด้วยทั้งหมดทั้งมวลที่เราชม+เน้นไปทางติมาขนาดนี้เราก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะว่าบายาวีเป็นนิยายที่อ่านได้สนุกมากเรื่องหนึ่ง อินได้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง จะยิ่งสนุกมากถ้าคุณไม่คิดเยอะจนเกินไปแบบเรา และที่สำคัญคงปฏิเสธไม่ได้แน่ว่าคุณลลนลเธอเป็นนักเขียนที่ใช้ภาษาได้ลื่น สละสลวย น่าอ่านสุดๆ คนหนึ่ง

ป.ล. ปกภาคแรกอยู่ในขั้นสอบผ่านเท่านั้น แต่ปกภาคสองเรียกได้ว่าเป็นปกของคัมออนที่เราชอบมากที่สุด พอๆ กับเรื่องลมลวงรักของมะบุงก็ว่าได้ และเราว่ามันเข้ากันกับเรื่องบายาวีเสียจริงๆ อ้อ! อยากจะบอกว่าทุกครั้งที่วิจารณ์ปกเนี่ยที่จริงก็แค่บ่นๆ ชมๆ ไม่เคยให้คะแนนปกด้วยหรอกนะคะ คือต่อให้ปกเป็นลายมือไก่เขี่ย แต่ถ้าเนื้อเรื่องดีสนุกเราก็ให้เต็ม 10 ได้ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าคะแนนรวมปกไปด้วยซะอีก บังเอิญเราถือคติ don't judge a book by its cover น่ะ


คะแนน ภาค 1 8/10
คะแนน ภาค 2 7.5/10