หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

Last Friends J-series ที่สุดจะ Highly Recommend!!


ラストフレンズ

วันนี้มี J-Series ที่น่าสนใจเรื่องนึงมาแนะนำค่ะ ชื่อเรื่องว่า Last Friends จริงๆ เราคิดว่าคนอาจจะส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ รู้จักหรือต้องเคยเห็น อาจจะเคยดูซีรี่ส์เรื่องนี้กันมาแล้วก็ได้ เพราะมันก็ดังใช่เล่นอ่ะนะ แถมนักแสดงก็ไม่ใช่โนเนมด้วย เลยคิดว่าคงจะรู้จักกันแน่ๆ แต่เราอยากแนะนำสำหรับคนที่ยังไม่เคยดูหรือสำหรับคนที่รู้จักแต่ว่าไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะต้องดูก็แล้วกันค่ะ คือเราเองมีนิสัยเสียอย่างนึง เรายอมรับอย่างไม่อายเลยว่าเรามีอคติกับซีรี่ส์/หนัง ของฝั่งเอเชียค่อนข้างเยอะ ถามว่าอคติอะไร คือเราไม่ค่อยชอบภาพหรือสารที่สื่อบันเทิงฝั่งเอเชียนำเสนอเกี่ยวกับ Homosexualities เท่าไหร่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับผู้หญิง เพราะจะชอบนำเสนอภาพที่ไม่ตรงกับความจริง ภาพเชิงลบ เชิงผิดปกติ ไอ้ตอนโปรโมทล่ะมักจะโปรโมทซะดิบดี แหม ไอ้ส่วนใหญ่อ่ะการตลาดชัดๆ ชอบนำเสนอความ hot ของนักแสดงมากกว่าเนื้อหาหรือ content ทำให้เราเกลียดมาก ขอโทษนะเราไม่ได้อยากดู girls gone wild หรือ girl x girl อะไรทำนองนั้นนะ เห็นหลายเรื่องชอบโปรโมทสิ่งเหล่านี้ มันทำให้เราไม่ชอบเลย

เพราะผลท้ายที่สุด(ส่วนใหญ่)ชอบเขียนให้ผู้หญิงกลับใจกลับตัวได้ ถ้าหากเจอผู้ชายที่ดี หรือไม่ก็จบรันทด โคตรเศร้า ชีวิตอาภัพสุดๆ ไม่ก็ตายโหงตายห่าไปซะเลย เหอๆ อาจเพราะในอดีตที่ผ่านมา วงการบันเทิงฝั่งเอเชียสร้างความรู้สึกแบบนั้นให้เรารู้สึกกับผลงานหนังต่างๆ ล่ะมั้งคะ เราจึงค่อนข้างมีอคติไปโดยปริยาย ก็ไม่ใช่ว่าสื่อบันเทิงฝั่งตะวันตกจะไม่มีหนังเพศที่ 3 ที่จบงี่เง่าปาหมอนหรอกนะ มีค่ะ แต่เทียบอัตราส่วนก็ยังน้อยกว่าฝั่งเอเชีย ยิ่งซีรี่ส์เรื่องนี้ฉายระดับ Mainstream หรือระดับประเทศ! ของญี่ปุ่น(ประเทศที่เราไม่คิดว่าเพศที่ 3 โดยเฉพาะผู้หญิงจะได้รับการพูดถึงหรือยอมรับมากมายนักในระดับ mass) เราก็เลยบอกตรงๆ ว่าไม่คาดหวังสักเล็กน้อยว่าทีมงานจะกล้านำเสนอในเรื่องหนักๆ อย่างสิทธิ์ มุมมอง ความรู้สึก ในด้านบวก ด้านดี หรืออะไรต่ออะไรเลย เราไม่แม้แต่จะหาอ่านรีวิวด้วยซ้ำ! (บอกแล้วไงว่านิสัยเสีย แหะ แหะ) และก็ลงเอยด้วยการไม่ดู =_=;

จนกระทั่ง..ว่างค่ะ 55555555555+ บอกตรงๆ นะ หลายครั้งแล้วเหมือนกันที่พอเราว่างๆ ไม่มีคิวอะไรที่ติดตามอยู่หรือสนใจ เราจะเจอเพชรเม็ดเบ้งที่แฝงอยู่ในสิ่งที่เราเคยตั้งแง่ เคยสงสัยหรือไม่สนใจไปซะก่อนทุกทีเลยอ่ะ เซ็งตัวเอง(ว่ะ)ค่ะ คือนี่ถ้าเราไม่ว่างสงสัยเราก็ยังไม่ได้ดูซีรี่ส์เทพๆ เรื่องนี้แน่ คิดแล้วก็น่าเสียดายนะ ทำไมชอบเป็นคนแบบนี้ เฮ้อ..

สิ่งที่เราประทับใจในซีรี่ส์เรื่องนี้มีเยอะมากกกกกกกกกก โอ้ว เอนทรี่วันนี้คงจะเขียนเยอะเลยแหละ เชื่อไหมว่าเราดูจบไป 3 รอบแล้ว (อ่านไม่ผิดหรอก ดูซ้ำตั้ง 3 ครั้ง!) รอบแรกดูแบบอึ้งๆ งงๆ ดีกว่าที่คาดมาก เลยเซอร์ไพรส์สุดๆ *.* รอบสองกับรอบสามดูแบบเก็บรายละเอียด เพราะเรื่องนี้ symbolic เยอะมากกก ชอบอ่ะ เรื่องนี้ production สวยงามในสามโลมากค่ะ ฉาก แสง เสื้อผ้าหน้าผม สถานที่ นักแสดง/การแสดง บท เพลงประกอบ ทุกอย่าง!! เราชอบ opening ให้สุดใจขาดดิ้นเลยเหอะ มันโคตะระจะ artistic สื่อความหมายได้สวยงามดีจัง เศร้าและงดงามแต่ฉาบด้วยความหวัง..ในขณะเดียวกันก็ดูลึกลับไปด้วย ว้าว เวลาเราพูดอะไรหาร 2 ด้วยนะ 555555+ เปล่าค่ะ คือเราชอบมากน่ะ ก็เลยคิดว่าจากที่อคติจะกลายมาเป็นลำเอียงแทนแล้วมั้ง เหอๆ =.=; (ขอโทษค่ะ พอดีชีวิตไม่มีทางสายกลาง เหอๆ) อ๊ะ! ลองดูกัน opening ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยดูมาเลย สวยเวอร์



ที่สำคัญเรื่องนี้ได้เพลงประกอบสุดเทพของฮิกกี้อย่างเพลง Prisoner of Love ด้วยมันเลยทำให้ทุกอย่างยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้น เนื้อร้องความหมายแบบว่าใช่เลยอ่ะ มันเรื่องนี้เลยชัดๆ!! (มีบางคนบอกว่าเพลงนี้นี่มันจำเลยรักเห็นๆ กร๊ากกก ก็ใช่อ่ะนะถ้าจะแปลแบบไทย) คือเรื่องนี้เหมือนการรวมตัวของสิ่งดีๆ หลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน ผู้กำกับ คนเขียนบท นักแสดง ทีมงาน เพลงประกอบ มันส่งเสริมและเอื้อซึ่งกันและกันอย่างยิ่งๆ หากมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ห่วยหรือแย่ ซีรี่ส์เรื่องนี้ก็คงจะไม่มีวันงดามได้ขนาดนี้ สำหรับเรามันแทบจะเหมือนงานศิลปะเลยก็ว่าได้ค่ะที่ทำออกมาได้ดีขนาดนี้ เหมือนอาหารล่ะ ถ้าเครื่องปรุงไม่มีคุณภาพ หรือคนปรุงไม่เก่งพอ มันก็ไม่อร่อยถูกไหม ดังนั้นการจะปรุงได้อร่อยทุกอย่างต้องสมดุลจริงๆ เช่นเดียวกับซีรี่ส์เรื่องนี้เลย

เอาล่ะ พล่ามเยอะแล้ว เข้าเนื้อหาดีกว่า Last Friends เป็นซีรี่ส์ที่สะท้อนถึงจิตใจในระดับต่างๆ ของมนุษย์ เวลาเจอกับสถานการณ์ต่างๆ โดยนำเสนอผ่านมุมมองตัวละครหลักที่แตกต่างกัน 5 คน ซึ่งตัวละครหลักได้มาอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันหรือที่เรียกว่า Share House


มิจิรุ หญิงสาวที่ที่เติบโตมาอย่างขาดความอบอุ่น ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและท่าทางร่าเริงแจ่มใส กลับฉาบแววประกายความเศร้าและเหงาหงอยซ่อนอยู่ ทำงานเป็นช่างเสริมสวย(ฝึกหัด) คบหาดูใจอยู่กับโซวสุเกะ [key word ในฉาก opening คือ Love]

รุกะ สาวห้าวนักบิดมอร์เตอร์คลอส ผู้ซึ่งภาพลักษณ์ภายนอกดูคล้ายกับไม่แย่แสหรือแคร์สิ่งใดในโลก แต่ในจิตใจที่แท้จริงกลับแบกรับความทุกข์บางอย่างเอาไว้ที่ไม่สามารถบอกใครให้รู้ได้ [key word ในฉาก opening คือ Liberation]

เทคารุ หนุ่มช่างแต่งหน้าที่แสนอบอุ่นและเป็นมิตร ดูเผินๆ คนส่วนใหญ่คงจะยินดีแปะป้ายว่าเค้าเป็นเกย์ ด้วยความที่เค้าปฏิเสธจะคบกับหญิงสาวเช่นชายหนุ่มอื่นๆ แต่ก็เช่นกัน ทาเครุมีภูมิหลังอะไรบางอย่างที่เจ้าตัวไม่สามารถบอกใครได้ ถึงเหตุผลที่เค้าไม่สามารถคบกับหญิงสาวแบบชายหนุ่มปกติทั่วไปได้ [key word ในฉาก opening คือ agony]

เอริ สาวมั่นแอร์โฮสเตสสุดเก่ง เป็น working women เรื่องงานไม่เป็นสองรองใคร มีนิสัยเป็นคนเปิดกว้าง เฮฮา สาวสังคมสุดฤทธิ์ แต่ลึกลงไปแล้วภายในจิตใจกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ่างว้าง [key word ในฉาก opening คือ Solitude]

โซวสุเกะ หนุ่มนักสังคมสงเคราะห์ ภาพลักษณ์สุดเนี๊ยบและเป็นแฟนสุดเพอร์เฟ็ค แต่ภายใต้ความอบอุ่นอ่อนโยนที่เห็น กลับมีปมขัดแย้งคือความรุนแรงและก้าวร้าว ที่คนภายนอกจะไม่มีวันล่วงรู้ [key word ในฉาก opening คือ Contradiction]

Last Friends แทบจะเป็น J-Series เรื่องแรกๆ ที่กล้าหยิบปัญหาของสังคมยุคปัจจุบันมานำเสนอ แถมนำเสนออย่างตรงไปตรงมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นในเรื่อง Homosexualities , DV (Domestic Violence) หรือปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ก่อนอื่นเราขอชมนักแสดงเรื่องนี้ก่อน เพราะว่าหากนักแสดงทำการบ้านได้ไม่ดี แสดงได้ไม่น่าเชื่อถือ เราคงไม่ชื่นชมและดูได้ถึง 3 รอบหรอกจริงไหม? คนที่อยากชมที่สุดก็แน่นอนว่าต้องเป็น Ueno Juri ที่ทำเอาเราอ้าปากค้างเลยว่าเธอแสดงได้สมจริงและเก่งมากกกกก สลัดภาพตัวละครก่อนๆ ที่ดังอยู่แล้วของเธอออกไปได้อย่างหมดจดจนเราอึ้ง! ก่อนหน้านี้เราเคยติดตามผลงานเธอมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ชอบเป็นการส่วนตัว (คือปัจจุบันเราไม่ค่อยมีดารา/นักร้องที่ชอบแบบจริงจังอ่ะ มีแต่ชอบที่ผลงาน ไอ้ตามกรี๊ด ตามคลั่งนี่คงพ้นวัยแล้ว สมัยก่อนอ่ะเยอะ) แต่มาพูดอวยเองแบบนี้คงไม่น่าเชื่อถือใช่ไหม ไม่เป็นไร งั้นมาดูรางวัลที่น่าเชื่อถือกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง


เคยติดตามงานของ Ueno Juri ก็เรื่อง Swing Girls หนังฟอร์มอาจไม่ยักษ์แต่ชนะใจคนดู กับกลุ่มนักเรียนหญิงมัธยมที่หันมาเล่นดนตรีแนว Jazz กันอย่างจริงจัง เคยอ่านบทความนานแล้วว่านักแสดงต้องซ้อมและเล่นดนตรีได้เองจริง ซ้อมจริงออกแสดงจริง ตอนนั้นเราก็ทึ่งหนังเรื่องนี้ไปมากโขอยู่นะ เพราะทำได้ดีมาก ดูแล้วฮึกเหิม+ขนลุก ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ ต่อมาได้มีโอกาสมาติดตามผลงานต่อในเรื่อง Nodame Cantabile ก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ เพราะเราบ้าเมะมาก่อนดูซีรี่ส์ด้วยไง พอเจอ Nodame เวอร์ชั่นคนแสดงได้ดีและถ่ายทอดเหมือนเมะก็เลยปลื้มไปพักใหญ่ สำหรับเราเคยคิดมาตั้งนานแล้วนะว่า Ueno Juri มี vibe อะไรบางอย่างที่มัน unisex อ่ะ คือมีภาพลักษณ์ที่เห็นแล้วคนจะชอบได้ทั้งหญิงและชาย เรื่องนี้คนเขียนบท Last Friends อย่างคุณ Asano ก็ถึงกับพูดออกมาด้วยตัวเองเช่นกันว่า ที่จงใจเลือก Ueno Juri ให้มาเล่นบท Ruka เพราะผลงานเรื่อง Rainbow Song เธอรู้สึกว่า Ueno มี vibe อะไรบางอย่างที่สามารถเล่นบทของคนที่มีปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศได้ และยังบอกด้วยซ้ำว่าเมื่อตอนได้ตกลงและรับบทแล้ว Ueno ถึงกับไปตัดผมและเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวด้วยตัวเองก่อนถ่ายทำจริงซะอีก!! จนถึงขนาดออกปากชมว่าเป็นนักแสดงที่มีเซ็นส์ด้านการแสดงที่อัจฉริยะมาก เพราะ Ueno ถึงกับเปลี่ยนท่าทางการเดิน การพูดจา สีหน้าท่าทาง ไม่ว่าจะขณะถ่ายทำหรือไม่ก็ตาม Ueno กลายเป็น Ruka ทั้งต่อหน้าและหลังกล้องเลย คล้ายๆ กับว่าแยกไม่ออกว่าแสดงอยู่หรืออินจนคิดว่าตัวเองเป็นรุกะจริงๆ ไม่แปลกใจที่เธอจะกวาดและคว้ารางวัลไปหลายสถาบัน และก็เพราะเรื่องนี้ทำให้เธอได้รับคำชมอย่างล้นหลามมากในด้านฝีมือการแสดง (จริงๆ รางวัลมีมากกว่านี้นะคะ รางวัลจากสื่ออื่นๆ ที่อาจไม่ใช่แค่การแสดงอีก อาทิ MTV เรียกได้ว่าควันหลงเรื่องนี้ทำเอาเธอเป็นที่กล่าวขวัญถึงพักใหญ่เลยในช่วงปี 2008-2009)

โนดาเมะกับรุกะ บทที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ^^;

คนที่สองที่ต้องชมคือ Eita อ๊ากกกกกกก เราโคตรจะชอบผู้ชายแบบนี้เลยอ่ะ กรอบนอกนุ่มใน เย้ย! ไม่ใช่ กร๊ากกกก >.< เราเคยติดตามงานของ Eita มาบ้างเหมือนกันนะคะ อย่างเรื่อง Unfair เราก็ชอบมากๆ คุณ Asano บอกว่าที่เลือก Eita มารับบท Takeru เพราะว่า Eita ให้ความรู้สึกถึงสตรีเพศซ่อนอยู่จางๆ 555555+ เราว่าเราเข้าใจนะคะว่าคุณ Asano ต้องการสื่ออะไร เค้าไม่ได้หมายความว่า Eita เป็นเก้งเป็นกวางอะไรหรอก ถ้าใครเคยดูผลงานที่ผ่านมา (โดยเฉพาะเรื่อง Unfair) ก็น่าจะเข้าใจความหมายนี้ คือ Eita มี Vibe ของ Feminism ฉาบอยู่ในท่าทีที่แสดงออก และไม่ได้หมายถึงทางสรีระ แต่หมายถึงทางด้านจิตใจ Eita ดูจะเข้าอกเข้าใจ และอยู่ข้างฝ่ายหญิงมากกว่าฝ่ายชาย อธิบายอย่างนี้จะเข้าใจไหมหว่า แต่เอาเป็นถ้าใครเคยดูผลงานของ Eita จะเข้าใจว่าหมายถึงอะไรค่ะ ^^

ส่วนคนที่ผิดคาดมากกกกกกก็คือ Nishikido Ryo!! บอกตรงๆ ในบรรดาหนุ่มๆ ค่าย JE(Johnny's Entertainment) เราปลื้มหลักๆ อยู่ 3 คน 1. รักแรกพบสมัยวัยซะรุ่น tackey!! หรือ Hideaki Takizawa คนนี้เราเคยบ้ามากช่วงมอต้น มีของสะสมเกือบทุกอย่าง ^^; คนที่ 2 Ninomiya Kazunari และคนที่ 3 ก็ไม่ใช่ใคร Ryo จังนั่นเอง อิอิ (แหม ถึงเราจะชอบยูริแต่คนเรามันก็ต้องมีโหมด Fan girl บ้างอะไรบ้างนะคะ ฮี่ฮี่) มาเรื่องนี้เราบอกตรงๆ เราโคตรนับถือ Ryo เลยค่ะที่กล้ารับบทเสี่ยงๆ แบบนี้!! คือบท DV หรือผู้ชายที่ชอบลงไม้ลงมือกับผู้หญิงน่ะ มันไม่เท่ห์หรอกนะขอบอก ถ้าเล่นบทแบบนี้ แน่นอนล่ะว่าจะมี Fan girl ที่ยังเห็นใจและเข้าข้างอยู่บ้าง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันจะต้องทำให้คนไม่ชอบได้เช่นกัน เราจึงนับถือ Ryo มากๆ ที่กล้ารับบทนี้ ชนะใจเราไปเลย นักแสดงที่ดีต้องกล้าเล่นบทที่แตกต่างและหลากหลาย ไม่กลัวคำครหา! และเรื่องนี้ Ryo ก็เล่นได้ดีมากๆ ด้วย ดีซะจนขณะชมเราโตรจะเกลียดโซวสุเกะเลยอ่ะ กร๊ากกกกก (แต่ไม่เกลียด Ryo นะ อิอิ :p) ยิ่งใครดูเรื่อง 1 Litre no Namida เราว่าคุณคงช็อคซินีม่าไปเลยถ้าได้มาดู Ryo เรื่องนี้ 555555+

ส่วนการแสดงของ Masami Nakazawa ที่รับบท มิจิรุ เราคิดว่าเธอแสดงได้ดีในระดับหนึ่งนะคะ คือสารภาพตรงๆ เราจำไม่ได้ว่าเธอเคยเล่นเรื่องอะไรมาบ้าง (ใครชอบมาซามิจังก็อย่าเคืองเราน๊า) เราจำอะไรเกี่ยวกับเธอไม่ได้เลย เราอาจจะเคยดูหรือเปล่าก็จำไม่ได้ แต่เราเคยเห็นเธอมาก่อนแน่นอนค่ะ คือเธอค่อนข้างดังและป๊อบมากอันนี้เราก็พอรู้ แต่เราอ่านหลายบอร์ดนะว่าเรื่องนี้เธอแสดงได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีแต่คนวิจารณ์เธอในทางที่ไม่ค่อยชื่นชม ก่อนหน้านี้เราพอจะรู้มาบ้างว่ามีคนหมั่นไส้เธอเยอะ (อาจเพราะเธอได้เล่นกับหนุ่มค่าย JE บ่อยหรือเปล่า เลยโดน Fan girls หมั่นไส้ เหอๆ) แต่สำหรับเรื่องนี้ เธอก็ถ่ายถอดภาพของมิจิรุออกมาได้ดีนะคะ สำหรับเราก็ผ่านอ่ะ ไม่ได้น่าเกลียดอะไร คือภาพของมิจิรุของคุณ Asano คือหญิงสาวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม สดใสร่าเริง ต้องมีความเป็นหญิงแบบเกิน 100% และต้องมีความรู้สึกที่เห็นแล้วอยากทะนุถนอม น่าปกป้องด้วย พร้อมกันในรอยยิ้มต้องฉาบประกายความเศร้านิดๆ ซึ่งเวลาเราเห็น Masami เล่นเราก็รู้สึกว่า อืม..มิจิรุก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะ (อาจเพราะเราจำเธอจากเรื่องอื่นไม่ได้ด้วยมั้ง เลยไม่รู้สึกว่าเล่นดีหรือไม่ดี แต่รู้สึกว่าเป็นมิจิรุได้เหมาะสมดี) อีกอย่างเรารู้สึกว่าบทอย่างมิจิรุเล่นยากนะ คือเป็นผู้หญิงที่เศร้าในอ่ะ อ่อนโยน+กึ่งๆ จะอ่อนแอ่ ต้องการการปกป้อง ร้องไห้เยอะมาก (ทั้งเรื่องนี้ร้องไปกี่ลิตรกันคะเนี่ย) แถมยามปกติก็ต้องยิ้มเยอะด้วย เห็นแล้วเหนื่อยแทน ไม่ใช่บทที่จะเล่นได้ง่ายๆ แหะ เราเลยรู้สึกว่า Masami ก็สอบผ่านสำหรับการเป็นมิจิรุ

ส่วน Asami Mizukawa หรือที่ได้รับบท Eri เราเคยติดตามงาน Asami มาก่อนเช่นกันค่ะ ก็แน่ล่ะเรื่อง Nodame Cantabile และหนังเรื่อง Shinku (เรื่องนี้ค่อนข้างอาร์ตและออกแนวแอบจิต+แฝงเลสเล็กน้อย) เรื่องนี้ Asami ฮาแตกมากค่ะ แบบไฮเปอร์เกินร้อย ตลกมาก บทที่ผ่านๆ มาไม่ใช่แบบนี้เลย แต่เราชอบ Asami เวลาเล่นอะไรฮาๆ ตลกๆ นะ มันน่าร๊ากกกกกอ่ะ >.< ยิ่งถ้าใครมีโอกาสได้ดู Last Friends เวอร์ชั่น Zone 2 ของญี่ปุ่น มันจะมีตอนพิเศษแถมให้ชื่อว่า エリー my Love (Eri my Love) ซึ่งจะเป็นตอนสั้นๆ ฮาๆ ให้ดู แนะนำให้หามาดูในยูทูบก็มีค่ะ คลิ๊ก ดูไปขำไป เล่นกันไปได๊! จะบ้าตาย ใครดูแล้วไม่ฮากลับมาด่าเราได้เลย กร๊ากกกก ขำมากกกก ช่วยเบรคความเครียดของซีรี่ส์ได้เป็นอย่างดี คริคริ 

ก็อย่างที่พล่ามมาน้ำลายท่วมปากทางด้านบน ว่าซีรี่ส์เรื่องนีัเป็นการรวมกันของสิ่งที่ดีๆ หลายอย่าง ผลงานจึงเพอร์เฟ็คได้ขนาดนี้ มาดูด้านเรตติ้งกันบ้างดีกว่า

รายชื่อตอน


#ชื่อตอนอัตราความนิยมวันออกอากาศ
1"ปัญหาที่บอกใครไม่ได้ DV การต้งครรภ์ รักต้องห้าม"
(誰にも言えない悩み DV、妊娠、禁断愛) 
13.910 เมษายน 2551
2"ความลับของชีวิต"
(命がけの秘密) 
15.617 เมษายน 2551
3(命を削る想い) 15.924 เมษายน 2551
4(引き裂かれた絆) 15.91 พฤษภาคม 2551
5"ค่ำคืนที่สุดสะเทือนใจ"
(衝撃の一夜) 
19.98 พฤษภาคม 2551
6(命がけの逃避行) 17.215 พฤษภาคม 2551
7"ความจริงที่โหดร้าย"
(残酷な現実) 
16.022 พฤษภาคม 2551
8"จดหมายฉบับสุดท้าย"
(最後の手紙) 
18.829 พฤษภาคม 2551
9"ชีวิตของคุณ"
(君の命) 
18.05 มิถุนายน 2551
10"บทสุดท้าย ความรักและความตาย"
(最終章・愛と死) 
20.712 มิถุนายน 2551
11"สู่อนาคต"
(未来へ) 
22.819 มิถุนายน 2551
จะเห็นได้ว่าตอนแรกนั้นเปิดตัวได้ธรรมดา ไม่หวือหว่ามากนัก คือเรตติ้งที่ 13.9 (แต่จริงๆ เรตนี้ก็ไม่น่าเกลียดหรอกค่ะ เพียงแต่อาจจะไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างที่สุด) แต่หลังจากนั้นก็ถีบตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ แน่นอนว่าเป็นเพราะทุกอย่างที่เรากล่าวไปทางด้านบนคือ การได้ส่วนผสมที่ลงตัวของทุกอย่าง นักแสดง บท เพลงประกอบ การลำดับภาพสวยมากๆ ต้องชมผู้กำกับและคนตัดต่อจริงๆ ที่สำคัญเนื้อเรื่องบีบคั้น สะท้อนจิตใจมนุษย์และปัญหาของสังคมออกมาได้ดีมาก ตอนสุดท้ายจึงพุ่งไปแตะที่ 22.8 ได้อย่างสวยงาม จริงๆ มี SP ออกมา 1 ตอนนะ แต่สำหรับเรามันไม่ใช่ SP อ่ะ ใครดูแล้วอย่าคาดหวัง เหมือน RECAP 11 ตอนที่ผ่านมาแล้วมากกว่า ไม่รู้จะทำออกมาให้เสื่อมเสียความงามของซีรี่ส์เพื่ออะไร บ้าจริงๆ (เราโคตรจะเกลียด SP เรื่องนี้เลยอ่ะ เพราะมันไม่ใช่ SP มันเป็นแค่รวบตอน 1-11 มาฉายซ้ำ บ้าบอมาก =_=;) 

ดูซีรี่ส์เรื่องนี้จบ ทำให้ในหัวเรามีคำถามเต็มไปหมด มันทำให้เรามองความรัก มองอัตลักษณ์ทางเพศของมนุษย์เปลี่ยนไป ทำให้เราเข้าใจคนเราที่แตกต่างกันได้มากยิ่งขึ้น ถ้าถามว่าเรื่อง Last Friends ยูริรึเปล่า เราบอกตรงๆ ว่าไม่อยากให้แปะป้าย Label ให้ซีรี่ส์เรื่องนี้ในแบบนั้น เพราะมันมีอะไรที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากกว่าแค่วายหรือไม่วาย เลสหรือไม่เลส เกย์หรือไม่เกย์ แต่ Last Friends พูดถึงความรักในหลายเฉดที่ไม่ใช่แค่ขาวกับดำ หญิงกับชาย หญิงกับหญิง หรือชายกับชาย เรื่องนี้ไม่ใช่เลย! เรื่องนี้มันวิวัฒตัวเองให้ไปไกลกว่านั้น เรากล้าพูดได้เลยว่า หากมนุษย์สามารถมีความรักต่อกันได้เฉกเช่นตัวละครแบบในเรื่องนี้ (โดยเฉพาะตอนจบ) สังคมคงจะมีความสุข ไร้ซึ่งปัญหากว่าเดิมเยอะ ตอนจบบางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ แต่เราชอบนะ เพราะด้วยส่วนตัวเรามองว่ามันเป็นทางออกที่สวยงามภายใต้สถานการณ์นั้น มันดีที่สุดแล้ว และงดงามที่สุดด้วย(ซึ่งโอกาศจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตคงจะใกล้เคียง 0 เหอๆ)

ตัวละครที่เราประทับใจมากที่สุดในเรื่องนี้คือ 2 คนนี้ค่ะ อยากรู้ว่าทำไมถึงประทับใจ ต้องไปดูเอง แล้วไม่ต้องถามว่า อ้าวไม่วายเหรอ ลงเอยด้วยกันเหรอ อย่างที่เราบอกไป เรื่องนี้มีมากกว่าแค่ความวายหรือไม่วาย หรือชายกับหญิง แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ รับรองได้ว่าไม่จบปาหมอน ประเภทหนังไทยที่ชอบให้ผู้หญิงกลับใจไปคบผู้ชาย เรื่องนี้คุณไม่ต้องห่วง ไม่เป็นแบบนั้นแน่นอนค่ะ :)


ต่อไปนี้จะเป็นการสปอยด์ ใครดูจบแล้วจะลากอ่านก็ได้นะคะ ใครยังไม่ได้ดูก็ไม่ต้องลากอ่านล่ะ เพราะจะเป็นการสปอยด์ถึงเนื้อหา ถ้าอยากรู้เรื่องเองก็อย่าอ่าน เตือนแล้วนะ เราอยากแชร์สิ่งที่คิดกับคนที่ดูจบแล้วเท่านั้น อยากระบายว่างั้น ^^;
สิ่งที่เราประทับใจมากๆ หลังดูจบก็ก็คือความรักที่รุกะมีต่อมิจิรุ และความรักที่ทาเครุมีต่อรุกะ ความรักที่ 2 คนนี้มีให้ต่อคนที่ตนรักนั้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์และงดงาม เต็มไปด้วยความเสียสละและอุทิศตน การสละความสุขส่วนตัว การทำเพื่อคนอื่นอย่างแท้จริง เป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่สุุด เพราะไม่ต้องการการผูกมัด หรือการเป็นเจ้าของ ไม่ต้องการการรักตอบ ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความไคร่หรือตัณหา หากใครสักคนรักคุณได้แบบนี้ คุณจะเป็นคนที่โชคดีและน่าอิจฉามากที่สุดคนนึงในโลกเลยก็ว่าได้ คล้ายๆ ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก คือรักด้วยบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการเงื่อนไขหรืออะไรตอบแทน

รุกะรักมิจิรุอยู่ข้างเดียวมานาน แต่ในท้ายที่สุดแม้มิจิรุจะไม่สามารถรักรุกะในแบบที่รุกะรักตนได้ แต่รุกะก็ไม่ได้ตีอกชกตัว จมทุกข์กับความรัก แต่ตรงกันข้าม ความรักที่รุกะมีต่อมิจิรุไม่ได้สั่นคลอนหรือน้อยลงไปเลย เธอรักมิจิรุแม้จะรู้ว่าไม่มีวันได้ครอบครองครัวหัวใจ ขอเพียงคนที่เธอรักมีความสุขเท่านั้น เธอยินดียืนหยัดอยู่เคียงข้างจนวันสุดท้ายของชีวิต แค่เพียงจะได้ดูแล ปกป้องและทำให้มิจิรุมีความสุข ส่วนทาเครุที่หลงรักรุกะ แม้รุกะจะไม่มีวันรักทาเครุตอบในแบบที่ทาเครุต้องการได้เช่นกัน แต่ก็เหมือนกับรุกะ ทาเครุก็ไม่ได้จมปลัก กร่นโทษฟ้าดิน ยิ่งไปกว่านั้น ทาเครุเสียอีกที่เป็นฝ่ายสนับสนุนให้กำลังใจ พยายามหาทางให้มิจิรุกลับมา พารุกะไปหามิจิรุ เพื่อให้รุกะมีความสุข ทาเครุไม่สนใจว่า รุกะจะชอบผู้หญิง หรือจะเป็นเพศอะไรทั้งนั้น เค้าชอบรอยยิ้มของรุกะ และอยากเห็นรุกะมีความสุข ขอแค่ได้เห็นรอยยิ้มและทำเพื่อรุกะ เค้าก็มีความสุขแล้ว เค้ายินดีทำตราบนานเท่านานเช่นกัน ความรักของทั้งสองคนนี้ที่มีต่อคนที่ตนรักจึงงดงาม บริสุทธิ์ อย่างแท้จริง

ตอนที่ระกุเผยตัวตนที่แท้จริงกับพ่อและกับทาเครุ มันเป็นฉากที่สะเทือนอารมณ์และทรงพลังมาก โดยเฉพาะฉากที่ตอนทาเครุอ่านจดหมายและรู้ความลับขอบรุกะ ว่าตัวตนเนื้อในที่แท้จริงเป็นอย่างไร และทำไมรุกะถึงไม่มีความสุข (แม้จะไม่แสดงออกว่าตนทุกข์ก็ตาม) ทาเครุกลับบอกว่าเค้ายังคงรักรุกะ และไม่ต้องถามว่ารักในฐานะที่ระกุเป็นผู้หญิง หรือในฐานะมนุษย์คนนึง เพราะเค้าก็ตอบไม่ได้ รู้เพียงแต่เค้าอยากอยู่เคียงข้าง ในยามรุกะเป็นทุกข์ และต้องการยืนเคียงข้างรุกะตลอดไป รุกะที่เคยรู้สึกมาตลอดว่ารู้สึกโดดเดี่ยว ไร้คนเข้าใจ ณ ห่วงเวลานั้นเป็นครั้งแรกที่รุกะรู้สึกว่า ตนไมได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป อย่างน้อยๆ มีคนๆ นึงที่รักตัวเธอ โดยไม่สนใจเพศหรือสิ่งที่เธอเป็น ฉากนี้เรียกน้ำตาไปได้เยอะมาก

ฉากที่รุกะสารภาพกับพ่อว่า ตนนั้นจะไม่มีวันแต่งงานอย่างผู้หญิงทั่วไปและไม่สามารถรักผู้ชายได้ตลอดชีวิต ก็เป็นฉากที่เราไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะฉายระดับ Mainstream ของญี่ปุ่นได้ พับผ่าซิ!! เป็นฉากที่สำคัญมากสำหรับการยอมรับมนุษย์คนนึงในสิ่งที่เค้าเป็น ก่อนหน้านี้รุกะไม่อยากให้พ่อเสียใจ ไม่อยากให้ใครรู้ ได้แต่เครียดและเจ็บปวดอยู่คนเดียวมาโดยตลอด แต่ในที่สุดเธอก็สามารถก้าวข้ามผ่านความกลัวตรงจุดนั้นได้ (ต้องขอบคุณทาเครุด้วย ที่ทำให้เธอมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น และมีความกล้ามากขึ้นที่จะบอกคนอื่นถึงสิ่งที่ตัวเป็นและไม่แบกควาทุกข์นี้ไว้คนเดียวอีกต่อไป)

พ่อของรุกะนับเป็นพ่อตัวอย่างที่ดีมากๆ ค่ะ คือแม้จะเจ็บปวดที่รู้ แต่ก็ไม่แสดงออกให้รุกะเห็น เค้าสนับสนุนรุกะ ในฐานะของพ่อ ในฐานะของคนในครอบครัว เค้ารักรุกะในแบบที่รุกะเป็น ในตอนหลังทั้งครอบครัว แม่และน้องชายรวมถึงเพื่อนเอริ ก็สามารถรับรุกะในแบบที่เป็นได้ แน่นอนว่ามันต้องสร้างบาดแผลในจิตใจให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่สิ่งที่ทุกคนแสดงออกก็คือ การยอมรับและสนับสนุน การร่วมกันก้าวผ่านไปด้วยกันให้ได้ แม้อาจจะเจ็บปวดมีอุปสรรคแต่ด้วยความรักที่มีแล้ว ความรักย่อมเอาชนะได้ทุกสิ่ง อย่างที่บอกในเรื่องนี้ ตัวละครแต่ละตัว จะนึกถึงผู้อื่นก่อนตัวเอง ความสุขของคนที่ตนรักจะต้องมาก่อนควาทุกข์ของตัวเอง จริงอยู่ว่ามันต้องมีคนที่ไม่สามารถรับรุกะได้ แต่อย่างน้อยๆ ครอบครัวและเพื่อนรักเธอในแบบที่เธอเป็น เพียงแค่นี้ก็เป็นสื่อสำคัญที่ดีที่สุดที่สามารถสื่อไปยังผู้ชมแล้วล่ะค่ะ งดงามๆ บราโว่ ปรบมือให้เลย

เอาล่ะ มาถึงโซวสุเกะบ้าง ในเรื่องนี้มีคนเกลียดโซวสุเกะเยอะมาก ก็แน่ละเค้าทั้งเตะทั้งต่อยผู้หญิง ไหนจะทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ในสังคมเราก็คงจะมีไม่น้อยกับผู้ชายที่เป็นแบบนี้ (เราคิดว่าผู้หญิงก็มีนะ แต่อาจไม่ใช่ทางร่างกาย แต่เป็นทางจิตใจ ประเภท รักแรง หึงแรง หวงแรงน่ะ) ถามว่าเราเข้าใจโซวสุเกะไหม มันอาจฟังดูไม่น่าเชื่อนะ แต่เรากล้าพูดว่าเราเข้าใจ เพียงแต่เนื้อเรื่องไม่ได้นำเสนอออกมาชัดเจนว่าทำไมโซวสุเกะเป็นแบบนั้น รุงแรงแบบนั้น อาจมีปมที่อดีตแม่ทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็ก เลยมีความรู้สึกเกลียดผู้หญิงลึกๆ (เพศแม่) อย่าลืมว่าโซวสุเกะโดนทิ้งไปตั้งแต่ชั้นประถม เราเองตอนเด็ก(ประถม)พ่อแม่เคยไปทำงานต่างจังหวัด เรารู้สึกเหงามาก นี่ขนาดเราไม่ได้โดนทิ้งนะ เหอๆ เรายังร้องไห้แทบทุกวัน เราเจอพ่อกับแม่แค่เสาร์-อาทิตย์เป็นเวลาหลายปี ดังนั้นเราเข้าใจความเหงา และโดดเดี่ยวของโซวสุเกะ (หรือมิจิรุ) ในระดับนึง เวลาคุณเป็นเด็ก คุณยังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ในชีวิตคุณจะมีใครสำคัญไปกว่าพ่อกับแม่ถามจริง ให้ลุงป้าน้าอาดีกับคุณแค่ไหน มันก็ไม่เหมือนพ่อกับแม่หรอก จริงๆ ค่ะ ดังนั้นโซวสุเกะที่โดนทิ้ง คงจะรู้สึกเหมือนโดนทรยศ มันเจ็บปวดเป็นบาดแผลขนาดใหญ่ พอมาเจอมิจิรุ ด้วยความที่รักมิจิรุมาก มากจนกลายเป็นหลงและหน้ามืด กลัวมิจิรุจะทิ้งไปเลยต้องซ้อมเช้าซ้อมเย็น เหอๆ ถามว่าเข้าใจไหม ตอบได้เลยว่าเข้าใจ แต่ถ้าถามว่ารับได้ไหม ไม่ต้องคิดเลยค่ะ ไม่มีวันรับได้ ในชีวิตจริง เราไม่ทนแบบมิจิรุหรอก มาเงื้อมือกับเราแค่ครั้งเดียวเราก็คงหนีไม่ก็ไปแจ้งความแล้วล่ะ

ทีนี้ถามว่าทำไมมิจิรุถึงเป็นแบบนั้น ถึงเราจะกล้าพูดเลยว่าเราจะไม่มีวันยอมทนแบบมิจิรุ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เข้าใจมิจิรุนะ เธอเติบโตมาแบบไม่มีใครรัก พูดแบบนี้ผิด เอาใหม่ๆ (เพราะรุกะรักมิจิรุ แต่มิจิรุไม่รู้ตัว) ต้องพูดว่ามิจิรุเติบโตมาแบบ 'รู้สึก' ว่าไม่มีใครรักตน ทั้งพ่อกับแม่ พอเจอคนที่รักเธอ เทคแคร์เธอ อย่างโซวสุเกะ มันก็เลยกลายเป็นจุดอ่อนไป ด้วยความที่อยากได้ความรักมาเติมเต็มความเหงาลึกๆ การกลัวจะต้องกลับไปเหงาและโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวอีก ดังนั้นถึงจะโดนซ้อมเช้าซ้อมเย็นก็เลยยอม ขอเพียงแค่ให้ได้รับความรัก เราเห็นมีแต่คนเกลียดมิจิรุ เกลียดที่ยอมโซวสุเกะ และเกลียดที่ไม่สามารถรักรุกะในแบบที่รุกะรักตอบได้ แหม คุณจะเอาอะไรมากมายถามจริง แน่ล่ะว่าเราผิดหวังที่มิจิรุไม่สามรถรับรักรุกะตอบได้ แต่เราก็ไม่โทษเธอนะ ก็ในเมื่อเธอไม่ได้รักรุกะแบบนั้นอ่ะ จะไปบังคับฝืนใจได้ไงกันค๊า เหมือนคนเป็นเกย์ เป็นทอมอ่ะ มีผู้หญิงหรือผู้ชายมาชอบคุณในแบบเพศตรงข้าม คุณจะรับรักตอบได้ไหมล่ะ ก็ทำนองเดียวกัน มิจิรุไม่ได้เป็นแบบรุกะ เธอไม่สามารถรักรุกะได้ในแบบเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เจ็บปวดอะไรเลย อย่าลืมว่าซีรี่ส์เรื่องนี้เริ่มต้นมาจากการที่มิจิรุพูดถึงรุกะมาโดยตลอด ว่าเสียใจแค่ไหนที่ผ่านมาที่ไม่เคยเข้าใจรุกะ ไม่เคยรู้ว่ารุกะเจ็บปวดเรื่องอะไร หรือคิดอะไรกับตัวเอง มิจิรุเองก็รักรุกะ แม้จะคนละความหมาย เธอเองก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่อยากให้ลืมคิดตรงจุดนี้ด้วย ลึกๆ แล้วเราเชื่อว่ามิจิรุรักรุกะแบบประเภทที่ว่า more than friend but less than lover คือเป็นคนสำคัญที่ไม่สามารถระบุได้ตรงๆ ว่ารักในระดับไหน รู้แค่ว่ารัก และอยากให้เค้ามีความสุข ไม่อยากให้ใครมาว่าร้าย ไม่งั้นตอนจบไม่ตบหน้าโซวสุเกะที่ทำร้ายรุกะหรอก จริงไหม? มิจิรุเองก็อยากปกป้องรุกะในแบบของตัวเองเช่นเดียวกัน ตอนที่โซวสุเกะบังคับคืนใจ มิจิรุก็ยังบอกว่าจะทำให้แบบนี้ได้ตลอดไป ขอเพียงไม่ไปทำร้ายรุกะเพื่อนของเธออีก รวมทั้งทาเครุด้วย แปลว่าในท้ายที่สุดแล้ว มิจิรุก็สามารถก้าวข้ามผ่านการต้องการความรักไปได้ และกลายเป็นรักคนอื่นอย่างเสียสละ รักคนที่ตนรักและอยากให้เค้าอยู่สุขสบายดีและปลอดภัย โดยไม่สนใจตนเองว่าจะต้องทุกข์แค่ไหน ในท้ายที่สุดมิจิรุก็ทำได้เช่นเดียวกับทาเครุและรุกะ แม้จะในแบบที่ดูเข้าใจยากกว่าก็ตาม

ก็เอาล่ะค่ะ หลักๆ คงจะมีพูดเพียงเท่านี้นะ อยากพูดอีกเยอะ แต่เหนื่อยแล้ว ไว้ค่อยมาอัพใหม่ (จบปาหมอนแบบนี้เลยเนอะตู เหอๆ) 

แต่ก่อนอื่นตัดเกรดกันก่อนจ๊า

ผลคะแนน
รับไปเลย 9/10 เย้ๆ!! Omedetou!! รีบไปหามาดูกันเร๊วววว คริคริ
หัก 1 คะแนน เนื่องจากเกลียด SP ที่ทำออกมาทำไมไม่รู้ ไม่ใช่ SP ซักกะนิด เฮ้อ! รมณ์เสีย และก็คิดว่าฉากจบมันน่าจะดีได้กว่านี้อีก(นิดนึง)!! มันดูรีบ+ลวกไปอ่ะนะ แต่ก็โดยรวมก็ดีมากแล้ว เป็น J-Series ที่ข้าพเจ้าขอ Highly Recommend!!

Credit: Google,Wiki,D-addicts

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

Review Sasameki Koto หนึ่งคํารักยากจะเอ่ย มังงะ/เมะยูริที่ต้องดู


สวัสดีค่า ห่างหายจากการรีวิวยูริไปนานมากกกกกกก ก็เอาล่ะ วันนี้กลับมารีวิวแล้ว พกของดี ของเทพ ควรค่าแก่การเสพ..ติดตัวมาด้วย! ซึ่งสิ่งนั้นคือ

Sasameki Koto ซึ่งลิขสิทธิ์ไทยใช้ชื่อว่า "หนึ่งคํารักยากจะเอ่ย"

เรื่องนี้มีทั้งอนิเมะและมังงะนะคะ มังงะที่ญี่ปุ่น 9 เล่มจบไปเรียบร้อยแล้ว ของไทยรักพิมพ์เป็นผู้จัดจำหน่าย อยากซื้อหามาเก็บเป็นสมบัติไว้ให้ลูกหลาน จิ้ม ซื้อจากเว็บสนพ.ราคาเล่มละ 45 บาทเองค่ะ ไม่แพงหรอก แถมส่งลงทะเบียนฟรีด้วย (เค้าไม่ใช่ม้านะ แต่เจอของดีก็อยากบอกต่ออ่ะ) รักพิมพ์ออกถึงเล่ม 8 ยังไม่จบ ส่วนอนิเมะก็มีคนทำซับไทยแล้ว หากันเอาเอง เหอๆ (ไม่ยากเกินความสามารถเหล่าวีรชนผู้เสพยูริหร๊อก ชิมิ๊ หึหึ) เอาล่ะๆ เพ้อมากไปแล้ว เข้าเรื่องดีกว่า

เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องรักๆ แต่ไม่ใคร่นะ รับรองถ้ากระทรวงวัฒนธรรมตรวจจะไม่เจออะไรอันตราย อิอิ เรื่องราวเกิดขึ้นภายในรั้วโรงเรียนมัธยม(สหะด้วยนะ ไม่ใช่สตรีล้วน) กับความรู้สึกรักอันแสนบริสุทธิ์ซาบซึ้ง ซึมลึกละมุนละไม ทั้งงดงามและเจ็บปวด กับความรักของหญิงสาวที่รักเค้าข้างเดียว

ตัวละครเอก 2 ตัวหลัก พระเอ้ย! นางเอก 2 คนคือ 

1. สุมิกะ มุราซาเมะ  = ยามปกติ  = ยามรั่ว 
2. อุชิโอะ คาซามะ  = ยามปกติ  = ยาม..น่าร๊กากกอ๊ะ 

สุมิกะหลงรักคาซามาะ(ข้างเดียว) มานานนมโดยที่สาวเจ้าบ่ได้รู้ ส่วนคาซามะนั้นมักจะชอบไปหลงรักเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักสุดโมเอะเป็นประจำ สเป็คเธอคือชอบเด็กผู้หญิงที่น่ารักเท่านั้น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้สุมิกะไม่กล้าบอกความรู้สึก จึงได้แต่เก็บงำ(เงียบๆ)ไว้คนเดียวตลอด เพราะตัวเองห่างไกลจากความน่ารัก ทั้งสูง(กว่าผู้ชาย) เรียนเก่ง กีฬาเก่ง บ้านเป็นโรฝึกอีก เป็นหัวหน้าและเคยเป็นประธานนักเรียนมาตลอดอีก ชีวิตโคตรจะผู้นำ และไม่มีช่องว่างให้ความน่ารักมาเยือน แต่ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกันมานานทั้งที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน สุมิกะทำทุกอย่างได้ให้คาซามะมีความสุข แม้แต่ตัวเองจะเจ็บก็ยอมทน ยืนหยัดเคียงข้างคาซามะทั้งยามสุขและทุกข์ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร คาซามะจะได้รู้ความจริงไหม จะมองเห็นไหมว่ามีใครสักคนรักตัวเองอยู่สุดหัวใจ แล้วสุมิกะจะกล้าสารภาพรักไหม ทำไมคำว่ารักมันพูดออกไปยากเสียจริง ตามชื่อเรื่องเลย เพราะหนึ่งคำรักยากจะเอ่ย


พี่ชายแฝด 3 ของสุมิกะ เห็นครั้งแรกแทบพุ่ง ยังกับหลุดออกมาจากสตรีทไฟเตอร์ ฮาโคตร lol

เราเริ่มต้นจากการดูเมะก่อน บอกตรงๆ ว่าเป็นม้านอกสายตามากๆ ค่ะ คือตอนนั้นกำลังบ้า Candy boy อยู่+ติดตามอย่างอื่นเยอะแยะไปหมด เรื่องนี้เลยไม่ค่อยอยู่ในสายตาเท่าไหร่ แต่ก็ได้ดูจนจบ เมะดำเนินไปได้แค่มังงะ 2 เล่มเอ๊งงงง  แต่ขนาดแค่ 2 เล่มนะ ก็ไปได้ตั้ง 12 ตอนแหนะ เก่งมาก ==b ดูจบประทับใจระดับหนึ่ง แต่ไม่ซึมลึก และก็ลืมไปไม่ได้เอามารีวิว จนกระทั่งเรามาตามเก็บมังงะ เพราะว่างจัด กร๊ากกก นี่ถ้าไม่ว่างคงพลาดแน่ๆ 

เชื่อไหมซื้อมา 8 เล่ม อาจจบภายในแป๊บเดียว รวดเดียว ตอนแรกว่าจะอ่านก่อนนอนนิดนึงแท้ๆ ขยับตัวอีกที อ้าว! เช้าแล้วเหรอ? 555555+ แถมสารภาพว่าทนไม่ไหวต้องหาเล่ม 9 แบบแปล eng มาดูก่อน (ก็ไม่ครบนะ ต้องอ่านป็น chapter เอาแต่ก็อ่านจนจบแล้ว) อยากบอกว่า จงไปจงซื้อมาอ่าน ณ บัดนาวววว!! 

โอ๊ย ทำไมมันถึงได้สุดยอดขนาดนี้ ตอนดูเมะก็ว่าเออๆ เรื่องนี้ใช้ได้แหะ แต่พออ่านมังงะ เฮ้ย! มันสุดยอดกว่าอ่ะ ลายเส้นสะอาด สวยงาม สบายตาสุดๆ ตัวอย่างๆ (อันนี้ sub eng นะ)

 
ฉากในมังงะ งานสะอาดและประณีตมาก ชอบลายเส้นสุดๆ

แต่ที่มันเทพในสามโลกเกินสิ่งใดเปรียบคือ "อารมณ์และบรรยากาศ" ที่นำเสนอนี่สิคะ เฮ้ย เรื่องนี้ผู้ชายแต่งนะคะ ขอบอก! แต่แม่เจ้า ทำไมถึงได้เข้าใจจิตใจชาวยูริดีขนาดนี้ T_T ราวกับมีจิตวิญญาณของสาว(วัยแรกรุ่น) สิงในตัว ฮิฮิ 

เนืื้อเรื่องนำเสนอได้ลื่นไหลมากๆ กลมกล่อมมากๆ ภาษางดงามมากๆ ขอให้เครดิตรักพิมพ์หน่อยว่าแปลได้อรรถรส ปรบมือ แปะ แปะ ตอนแปล Girlfriends หรือเพื่อนหญิง เราว่าแปลได้ไม่ค่อยดีอ่ะ อ่าน ENG ยังได้อรรถรสกว่า แต่เรื่องนี้แปลไทยเทพมาก เข้าถึงอารมณ์ได้ดีสุดๆ บางประโยคมาเป็นบทกลอน ทั้งซึ้งทั้งฮา เก่งสุดยอด แถมแปลมุขต่างๆ ได้ขำจริงด้วย คือเวลาเราอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นที่แปลไทย บอกตรงๆ ส่วนใหญ่แปลมุขญี่ปุ่นมาแล้วแป๊กอ่ะ แต่เรื่องนี้แปลได้ฮาจริงๆ อ่านไปหัวเราะไป มีความสุขสุดๆ


ฉากในเมะ ทำได้ดีงานไม่เผา โอเคผ่าน

แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเรื่องจะเบาๆ ใสวิ้งๆ นะคะ บทจะหนักก็ทำคุณเสียน้ำตาได้นะเออ อย่างเล่มๆ แรกจะฮาเยอะหน่อย นอกเรื่องมากหน่อย หลังๆ จะเริ่มดราม่า เริ่มซีเครียด คนอ่านอ่านไปกลืนน้ำลายไปเอื้อกๆ ลุ้นตาม ขอชมท่านอาจารย์ Takashi Ikeda แกจริงๆ แต่งไปได้ยังไงเนี่ย หนักหน่วงทางอารมณ์สุดยอด (โดยไม่มีอะไรอีโรติกเลยด้วยซ้ำ เก่งม๊ากกกก!)

จริงๆ ช่วงเล่มหลังๆ (7 เป็นต้นไป) มันก็เริ่มออกทะเลนะ มีตัวละครอื่นโผล่มาแบบไม่จำเป็น เหมือนคล้ายจะยืดๆ เรื่อง แต่เราก็หยวนๆ อ่ะ เพราะมันสนุกลายเส้นสวยอยู่แล้ว ก็ยินดีให้ยืดไปเรื่อยๆ แต่คนอ่าน/ดู ทุกคนจะลุ้นตัวเอกทั้งสองว่าตกลงจะลงเอยกันอีหร่อบไหนอะไรยังไงมากกว่า 

ลายเส้นมังงะสวยเสมอต้นเสมอปลาย ประทับใจสุดๆ แบบอนิเมะก็ใช้ได้นะคะ ดีเลยแหละ งานไม่เผา ที่สำคัญเพลงประกอบไพเราะมาก แต่ฟังแล้วมันเศร้าๆ ไงไม่รู้แหะ T_T แต่ท่วงทำนองช่างเข้ากับเนื้องหาสุดๆ บรรยายความรู้สึกของการรักเค้าข้างเดียวผ่านเป็นเมโลดี้ได้เจ็บปวดรวดร้าวเสียจริง

เป็นมังงะที่อ่านแล้วสะเทือนอารมณ์มาก หลายๆ ฉากที่วาดทั้งที่ไม่มีอะไร หรือแม้กระทั่งคำพูดแต่กลับทรงพลัง นี่เป็นฉากหนึ่งที่ชอบ

สิ่งที่ประทับใจลักๆ คือ ตัวละครค่ะ real มาก ทั้งบุคคลิก ลักษณะนิสัย ความรู้สึก แต่งได้ real โคตรๆ อินแทน ลุ้นแทน เจ็บแทน! ฉากร้องไห้ทำได้สะเทือนอารมณ์+น่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ซิ แบบว่าเวลาตัวละครตัวไหนร้องไห้นี่บางทีกิน 2 หน้าเลย หรือ 1 หน้าเต็มเลยนะ ชัดจนรู้สึกขนลุก เราว่าอาจารย์แกเก่งในการถ่ายทอดฉากเศร้าๆ นะ ทำได้แบบรุนแรงดีจริงๆ ไม่กระมิดกระเมียน

ฉากจบก็ประทับใจระดับหนึ่ง ไม่ผิดหวัง ไม่จบห่วย ลวกหรือแย่ แต่ก็ไม่ได้ดีอย่างที่คาด เอาเป็นเราไม่คิดว่าฉากจบจะเขียนได้ขนาดนั้น คือนี่เป็นผู้ชายญี่ปุ่นแต่ง ต้องย้ำอย่างนี้ ชนชาติที่เราว่ามันน่าจะอนุรักษ์นิยมแท้ๆ แต่กลับแต่งจบได้โคตร Liberal สุดๆ กร๊ากกกก ขนลุกก็ตรงนี้ เฮ้ย! สปอยด์เปล่าเนี่ย ม่ายนะ ไม่ อิอิ ไปหาอ่านเองละกันแล้วจะเข้าใจ

คะแนน
อนิเมะ 8.5/10 ให้แค่ 8.5 เพราะมันดำเนินไปได้แค่ 2 เล่มของมังงะเอง เลยสื่ออารมณ์อันสุดยอดออกมาทั้งหมดไม่ได้ แต่การันตีว่าลายเส้นไม่เผา หามาดูได้เลยไม่ผิดหวัง OST เพราะเวอร์
มังงะ 9.5/10 ไม่ให้ 10 เต็มเพราะก็ยังมีข้อติอยู่หลายจุด หลังๆ ออกทะเลไปบ้าง จบได้ประทับใจแต่สามารถพีคได้กว่านี้อีก ไม่เพอร์เฟ็คเสียทีเดียว แต่เราเป็นคนให้คะแนนงกพอสมควรนะ 9.5 ถือว่าเยอะโคตรๆ แล้วค่ะ

สรุป ถ้าชอบยูริ จงไปหามาเสพโดยพลัน!