ラスト・フレンズ
วันนี้มี J-Series ที่น่าสนใจเรื่องนึงมาแนะนำค่ะ ชื่อเรื่องว่า Last Friends จริงๆ เราคิดว่าคนอาจจะส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ รู้จักหรือต้องเคยเห็น อาจจะเคยดูซีรี่ส์เรื่องนี้กันมาแล้วก็ได้ เพราะมันก็ดังใช่เล่นอ่ะนะ แถมนักแสดงก็ไม่ใช่โนเนมด้วย เลยคิดว่าคงจะรู้จักกันแน่ๆ แต่เราอยากแนะนำสำหรับคนที่ยังไม่เคยดูหรือสำหรับคนที่รู้จักแต่ว่าไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะต้องดูก็แล้วกันค่ะ คือเราเองมีนิสัยเสียอย่างนึง เรายอมรับอย่างไม่อายเลยว่าเรามีอคติกับซีรี่ส์/หนัง ของฝั่งเอเชียค่อนข้างเยอะ ถามว่าอคติอะไร คือเราไม่ค่อยชอบภาพหรือสารที่สื่อบันเทิงฝั่งเอเชียนำเสนอเกี่ยวกับ Homosexualities เท่าไหร่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับผู้หญิง เพราะจะชอบนำเสนอภาพที่ไม่ตรงกับความจริง ภาพเชิงลบ เชิงผิดปกติ ไอ้ตอนโปรโมทล่ะมักจะโปรโมทซะดิบดี แหม ไอ้ส่วนใหญ่อ่ะการตลาดชัดๆ ชอบนำเสนอความ hot ของนักแสดงมากกว่าเนื้อหาหรือ content ทำให้เราเกลียดมาก ขอโทษนะเราไม่ได้อยากดู girls gone wild หรือ girl x girl อะไรทำนองนั้นนะ เห็นหลายเรื่องชอบโปรโมทสิ่งเหล่านี้ มันทำให้เราไม่ชอบเลย
เพราะผลท้ายที่สุด(ส่วนใหญ่)ชอบเขียนให้ผู้หญิงกลับใจกลับตัวได้ ถ้าหากเจอผู้ชายที่ดี หรือไม่ก็จบรันทด โคตรเศร้า ชีวิตอาภัพสุดๆ ไม่ก็ตายโหงตายห่าไปซะเลย เหอๆ อาจเพราะในอดีตที่ผ่านมา วงการบันเทิงฝั่งเอเชียสร้างความรู้สึกแบบนั้นให้เรารู้สึกกับผลงานหนังต่างๆ ล่ะมั้งคะ เราจึงค่อนข้างมีอคติไปโดยปริยาย ก็ไม่ใช่ว่าสื่อบันเทิงฝั่งตะวันตกจะไม่มีหนังเพศที่ 3 ที่จบงี่เง่าปาหมอนหรอกนะ มีค่ะ แต่เทียบอัตราส่วนก็ยังน้อยกว่าฝั่งเอเชีย ยิ่งซีรี่ส์เรื่องนี้ฉายระดับ Mainstream หรือระดับประเทศ! ของญี่ปุ่น(ประเทศที่เราไม่คิดว่าเพศที่ 3 โดยเฉพาะผู้หญิงจะได้รับการพูดถึงหรือยอมรับมากมายนักในระดับ mass) เราก็เลยบอกตรงๆ ว่าไม่คาดหวังสักเล็กน้อยว่าทีมงานจะกล้านำเสนอในเรื่องหนักๆ อย่างสิทธิ์ มุมมอง ความรู้สึก ในด้านบวก ด้านดี หรืออะไรต่ออะไรเลย เราไม่แม้แต่จะหาอ่านรีวิวด้วยซ้ำ! (บอกแล้วไงว่านิสัยเสีย แหะ แหะ) และก็ลงเอยด้วยการไม่ดู =_=;
จนกระทั่ง..ว่างค่ะ 55555555555+ บอกตรงๆ นะ หลายครั้งแล้วเหมือนกันที่พอเราว่างๆ ไม่มีคิวอะไรที่ติดตามอยู่หรือสนใจ เราจะเจอเพชรเม็ดเบ้งที่แฝงอยู่ในสิ่งที่เราเคยตั้งแง่ เคยสงสัยหรือไม่สนใจไปซะก่อนทุกทีเลยอ่ะ เซ็งตัวเอง(ว่ะ)ค่ะ คือนี่ถ้าเราไม่ว่างสงสัยเราก็ยังไม่ได้ดูซีรี่ส์เทพๆ เรื่องนี้แน่ คิดแล้วก็น่าเสียดายนะ ทำไมชอบเป็นคนแบบนี้ เฮ้อ..
สิ่งที่เราประทับใจในซีรี่ส์เรื่องนี้มีเยอะมากกกกกกกกกก โอ้ว เอนทรี่วันนี้คงจะเขียนเยอะเลยแหละ เชื่อไหมว่าเราดูจบไป 3 รอบแล้ว (อ่านไม่ผิดหรอก ดูซ้ำตั้ง 3 ครั้ง!) รอบแรกดูแบบอึ้งๆ งงๆ ดีกว่าที่คาดมาก เลยเซอร์ไพรส์สุดๆ *.* รอบสองกับรอบสามดูแบบเก็บรายละเอียด เพราะเรื่องนี้ symbolic เยอะมากกก ชอบอ่ะ เรื่องนี้ production สวยงามในสามโลมากค่ะ ฉาก แสง เสื้อผ้าหน้าผม สถานที่ นักแสดง/การแสดง บท เพลงประกอบ ทุกอย่าง!! เราชอบ opening ให้สุดใจขาดดิ้นเลยเหอะ มันโคตะระจะ artistic สื่อความหมายได้สวยงามดีจัง เศร้าและงดงามแต่ฉาบด้วยความหวัง..ในขณะเดียวกันก็ดูลึกลับไปด้วย ว้าว เวลาเราพูดอะไรหาร 2 ด้วยนะ 555555+ เปล่าค่ะ คือเราชอบมากน่ะ ก็เลยคิดว่าจากที่อคติจะกลายมาเป็นลำเอียงแทนแล้วมั้ง เหอๆ =.=; (ขอโทษค่ะ พอดีชีวิตไม่มีทางสายกลาง เหอๆ) อ๊ะ! ลองดูกัน opening ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยดูมาเลย สวยเวอร์
ที่สำคัญเรื่องนี้ได้เพลงประกอบสุดเทพของฮิกกี้อย่างเพลง Prisoner of Love ด้วยมันเลยทำให้ทุกอย่างยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้น เนื้อร้องความหมายแบบว่าใช่เลยอ่ะ มันเรื่องนี้เลยชัดๆ!! (มีบางคนบอกว่าเพลงนี้นี่มันจำเลยรักเห็นๆ กร๊ากกก ก็ใช่อ่ะนะถ้าจะแปลแบบไทย) คือเรื่องนี้เหมือนการรวมตัวของสิ่งดีๆ หลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน ผู้กำกับ คนเขียนบท นักแสดง ทีมงาน เพลงประกอบ มันส่งเสริมและเอื้อซึ่งกันและกันอย่างยิ่งๆ หากมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ห่วยหรือแย่ ซีรี่ส์เรื่องนี้ก็คงจะไม่มีวันงดามได้ขนาดนี้ สำหรับเรามันแทบจะเหมือนงานศิลปะเลยก็ว่าได้ค่ะที่ทำออกมาได้ดีขนาดนี้ เหมือนอาหารล่ะ ถ้าเครื่องปรุงไม่มีคุณภาพ หรือคนปรุงไม่เก่งพอ มันก็ไม่อร่อยถูกไหม ดังนั้นการจะปรุงได้อร่อยทุกอย่างต้องสมดุลจริงๆ เช่นเดียวกับซีรี่ส์เรื่องนี้เลย
เอาล่ะ พล่ามเยอะแล้ว เข้าเนื้อหาดีกว่า Last Friends เป็นซีรี่ส์ที่สะท้อนถึงจิตใจในระดับต่างๆ ของมนุษย์ เวลาเจอกับสถานการณ์ต่างๆ โดยนำเสนอผ่านมุมมองตัวละครหลักที่แตกต่างกัน 5 คน ซึ่งตัวละครหลักได้มาอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันหรือที่เรียกว่า Share House
มิจิรุ หญิงสาวที่ที่เติบโตมาอย่างขาดความอบอุ่น ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและท่าทางร่าเริงแจ่มใส กลับฉาบแววประกายความเศร้าและเหงาหงอยซ่อนอยู่ ทำงานเป็นช่างเสริมสวย(ฝึกหัด) คบหาดูใจอยู่กับโซวสุเกะ [key word ในฉาก opening คือ Love]
รุกะ สาวห้าวนักบิดมอร์เตอร์คลอส ผู้ซึ่งภาพลักษณ์ภายนอกดูคล้ายกับไม่แย่แสหรือแคร์สิ่งใดในโลก แต่ในจิตใจที่แท้จริงกลับแบกรับความทุกข์บางอย่างเอาไว้ที่ไม่สามารถบอกใครให้รู้ได้ [key word ในฉาก opening คือ Liberation]
เทคารุ หนุ่มช่างแต่งหน้าที่แสนอบอุ่นและเป็นมิตร ดูเผินๆ คนส่วนใหญ่คงจะยินดีแปะป้ายว่าเค้าเป็นเกย์ ด้วยความที่เค้าปฏิเสธจะคบกับหญิงสาวเช่นชายหนุ่มอื่นๆ แต่ก็เช่นกัน ทาเครุมีภูมิหลังอะไรบางอย่างที่เจ้าตัวไม่สามารถบอกใครได้ ถึงเหตุผลที่เค้าไม่สามารถคบกับหญิงสาวแบบชายหนุ่มปกติทั่วไปได้ [key word ในฉาก opening คือ agony]
เอริ สาวมั่นแอร์โฮสเตสสุดเก่ง เป็น working women เรื่องงานไม่เป็นสองรองใคร มีนิสัยเป็นคนเปิดกว้าง เฮฮา สาวสังคมสุดฤทธิ์ แต่ลึกลงไปแล้วภายในจิตใจกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ่างว้าง [key word ในฉาก opening คือ Solitude]
โซวสุเกะ หนุ่มนักสังคมสงเคราะห์ ภาพลักษณ์สุดเนี๊ยบและเป็นแฟนสุดเพอร์เฟ็ค แต่ภายใต้ความอบอุ่นอ่อนโยนที่เห็น กลับมีปมขัดแย้งคือความรุนแรงและก้าวร้าว ที่คนภายนอกจะไม่มีวันล่วงรู้ [key word ในฉาก opening คือ Contradiction]
Last Friends แทบจะเป็น J-Series เรื่องแรกๆ ที่กล้าหยิบปัญหาของสังคมยุคปัจจุบันมานำเสนอ แถมนำเสนออย่างตรงไปตรงมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นในเรื่อง Homosexualities , DV (Domestic Violence) หรือปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ก่อนอื่นเราขอชมนักแสดงเรื่องนี้ก่อน เพราะว่าหากนักแสดงทำการบ้านได้ไม่ดี แสดงได้ไม่น่าเชื่อถือ เราคงไม่ชื่นชมและดูได้ถึง 3 รอบหรอกจริงไหม? คนที่อยากชมที่สุดก็แน่นอนว่าต้องเป็น Ueno Juri ที่ทำเอาเราอ้าปากค้างเลยว่าเธอแสดงได้สมจริงและเก่งมากกกกก สลัดภาพตัวละครก่อนๆ ที่ดังอยู่แล้วของเธอออกไปได้อย่างหมดจดจนเราอึ้ง! ก่อนหน้านี้เราเคยติดตามผลงานเธอมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ชอบเป็นการส่วนตัว (คือปัจจุบันเราไม่ค่อยมีดารา/นักร้องที่ชอบแบบจริงจังอ่ะ มีแต่ชอบที่ผลงาน ไอ้ตามกรี๊ด ตามคลั่งนี่คงพ้นวัยแล้ว สมัยก่อนอ่ะเยอะ) แต่มาพูดอวยเองแบบนี้คงไม่น่าเชื่อถือใช่ไหม ไม่เป็นไร งั้นมาดูรางวัลที่น่าเชื่อถือกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
- 1st Tokyo Drama Awards: Best Youth Drama
- 1st Tokyo Drama Awards: Best Actress - Ueno Juri
- 57th Television Drama Academy Awards: Best Drama
- 57th Television Drama Academy Awards: Best Supporting Actress: Ueno Juri
- 57th Television Drama Academy Awards: Best Supporting Actor: Nishikido Ryo
- 57th Television Drama Academy Awards: Best Director: Kato Hiromasa, Nishisaka Mizuki, Endo Mitsutaka
- 57th Television Drama Academy Awards: Best Script: Asano Taeko
- 57th Television Drama Academy Awards: Best Theme Song
- 12th Nikkan Sports Drama Grand Prix (Spring 2008): Best Supporting Actor: Nishikido Ryo
- 12th Nikkan Sports Drama Grand Prix (Spring 2008): Best Supporting Actress: Ueno Juri
เคยติดตามงานของ Ueno Juri ก็เรื่อง Swing Girls หนังฟอร์มอาจไม่ยักษ์แต่ชนะใจคนดู กับกลุ่มนักเรียนหญิงมัธยมที่หันมาเล่นดนตรีแนว Jazz กันอย่างจริงจัง เคยอ่านบทความนานแล้วว่านักแสดงต้องซ้อมและเล่นดนตรีได้เองจริง ซ้อมจริงออกแสดงจริง ตอนนั้นเราก็ทึ่งหนังเรื่องนี้ไปมากโขอยู่นะ เพราะทำได้ดีมาก ดูแล้วฮึกเหิม+ขนลุก ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ ต่อมาได้มีโอกาสมาติดตามผลงานต่อในเรื่อง Nodame Cantabile ก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ เพราะเราบ้าเมะมาก่อนดูซีรี่ส์ด้วยไง พอเจอ Nodame เวอร์ชั่นคนแสดงได้ดีและถ่ายทอดเหมือนเมะก็เลยปลื้มไปพักใหญ่ สำหรับเราเคยคิดมาตั้งนานแล้วนะว่า Ueno Juri มี vibe อะไรบางอย่างที่มัน unisex อ่ะ คือมีภาพลักษณ์ที่เห็นแล้วคนจะชอบได้ทั้งหญิงและชาย เรื่องนี้คนเขียนบท Last Friends อย่างคุณ Asano ก็ถึงกับพูดออกมาด้วยตัวเองเช่นกันว่า ที่จงใจเลือก Ueno Juri ให้มาเล่นบท Ruka เพราะผลงานเรื่อง Rainbow Song เธอรู้สึกว่า Ueno มี vibe อะไรบางอย่างที่สามารถเล่นบทของคนที่มีปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศได้ และยังบอกด้วยซ้ำว่าเมื่อตอนได้ตกลงและรับบทแล้ว Ueno ถึงกับไปตัดผมและเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวด้วยตัวเองก่อนถ่ายทำจริงซะอีก!! จนถึงขนาดออกปากชมว่าเป็นนักแสดงที่มีเซ็นส์ด้านการแสดงที่อัจฉริยะมาก เพราะ Ueno ถึงกับเปลี่ยนท่าทางการเดิน การพูดจา สีหน้าท่าทาง ไม่ว่าจะขณะถ่ายทำหรือไม่ก็ตาม Ueno กลายเป็น Ruka ทั้งต่อหน้าและหลังกล้องเลย คล้ายๆ กับว่าแยกไม่ออกว่าแสดงอยู่หรืออินจนคิดว่าตัวเองเป็นรุกะจริงๆ ไม่แปลกใจที่เธอจะกวาดและคว้ารางวัลไปหลายสถาบัน และก็เพราะเรื่องนี้ทำให้เธอได้รับคำชมอย่างล้นหลามมากในด้านฝีมือการแสดง (จริงๆ รางวัลมีมากกว่านี้นะคะ รางวัลจากสื่ออื่นๆ ที่อาจไม่ใช่แค่การแสดงอีก อาทิ MTV เรียกได้ว่าควันหลงเรื่องนี้ทำเอาเธอเป็นที่กล่าวขวัญถึงพักใหญ่เลยในช่วงปี 2008-2009)
โนดาเมะกับรุกะ บทที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ^^;
คนที่สองที่ต้องชมคือ Eita อ๊ากกกกกกก เราโคตรจะชอบผู้ชายแบบนี้เลยอ่ะ กรอบนอกนุ่มใน เย้ย! ไม่ใช่ กร๊ากกกก >.< เราเคยติดตามงานของ Eita มาบ้างเหมือนกันนะคะ อย่างเรื่อง Unfair เราก็ชอบมากๆ คุณ Asano บอกว่าที่เลือก Eita มารับบท Takeru เพราะว่า Eita ให้ความรู้สึกถึงสตรีเพศซ่อนอยู่จางๆ 555555+ เราว่าเราเข้าใจนะคะว่าคุณ Asano ต้องการสื่ออะไร เค้าไม่ได้หมายความว่า Eita เป็นเก้งเป็นกวางอะไรหรอก ถ้าใครเคยดูผลงานที่ผ่านมา (โดยเฉพาะเรื่อง Unfair) ก็น่าจะเข้าใจความหมายนี้ คือ Eita มี Vibe ของ Feminism ฉาบอยู่ในท่าทีที่แสดงออก และไม่ได้หมายถึงทางสรีระ แต่หมายถึงทางด้านจิตใจ Eita ดูจะเข้าอกเข้าใจ และอยู่ข้างฝ่ายหญิงมากกว่าฝ่ายชาย อธิบายอย่างนี้จะเข้าใจไหมหว่า แต่เอาเป็นถ้าใครเคยดูผลงานของ Eita จะเข้าใจว่าหมายถึงอะไรค่ะ ^^
ส่วนคนที่ผิดคาดมากกกกกกก็คือ Nishikido Ryo!! บอกตรงๆ ในบรรดาหนุ่มๆ ค่าย JE(Johnny's Entertainment) เราปลื้มหลักๆ อยู่ 3 คน 1. รักแรกพบสมัยวัยซะรุ่น tackey!! หรือ Hideaki Takizawa คนนี้เราเคยบ้ามากช่วงมอต้น มีของสะสมเกือบทุกอย่าง ^^; คนที่ 2 Ninomiya Kazunari และคนที่ 3 ก็ไม่ใช่ใคร Ryo จังนั่นเอง อิอิ (แหม ถึงเราจะชอบยูริแต่คนเรามันก็ต้องมีโหมด Fan girl บ้างอะไรบ้างนะคะ ฮี่ฮี่) มาเรื่องนี้เราบอกตรงๆ เราโคตรนับถือ Ryo เลยค่ะที่กล้ารับบทเสี่ยงๆ แบบนี้!! คือบท DV หรือผู้ชายที่ชอบลงไม้ลงมือกับผู้หญิงน่ะ มันไม่เท่ห์หรอกนะขอบอก ถ้าเล่นบทแบบนี้ แน่นอนล่ะว่าจะมี Fan girl ที่ยังเห็นใจและเข้าข้างอยู่บ้าง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันจะต้องทำให้คนไม่ชอบได้เช่นกัน เราจึงนับถือ Ryo มากๆ ที่กล้ารับบทนี้ ชนะใจเราไปเลย นักแสดงที่ดีต้องกล้าเล่นบทที่แตกต่างและหลากหลาย ไม่กลัวคำครหา! และเรื่องนี้ Ryo ก็เล่นได้ดีมากๆ ด้วย ดีซะจนขณะชมเราโตรจะเกลียดโซวสุเกะเลยอ่ะ กร๊ากกกกก (แต่ไม่เกลียด Ryo นะ อิอิ :p) ยิ่งใครดูเรื่อง 1 Litre no Namida เราว่าคุณคงช็อคซินีม่าไปเลยถ้าได้มาดู Ryo เรื่องนี้ 555555+
ส่วนการแสดงของ Masami Nakazawa ที่รับบท มิจิรุ เราคิดว่าเธอแสดงได้ดีในระดับหนึ่งนะคะ คือสารภาพตรงๆ เราจำไม่ได้ว่าเธอเคยเล่นเรื่องอะไรมาบ้าง (ใครชอบมาซามิจังก็อย่าเคืองเราน๊า) เราจำอะไรเกี่ยวกับเธอไม่ได้เลย เราอาจจะเคยดูหรือเปล่าก็จำไม่ได้ แต่เราเคยเห็นเธอมาก่อนแน่นอนค่ะ คือเธอค่อนข้างดังและป๊อบมากอันนี้เราก็พอรู้ แต่เราอ่านหลายบอร์ดนะว่าเรื่องนี้เธอแสดงได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีแต่คนวิจารณ์เธอในทางที่ไม่ค่อยชื่นชม ก่อนหน้านี้เราพอจะรู้มาบ้างว่ามีคนหมั่นไส้เธอเยอะ (อาจเพราะเธอได้เล่นกับหนุ่มค่าย JE บ่อยหรือเปล่า เลยโดน Fan girls หมั่นไส้ เหอๆ) แต่สำหรับเรื่องนี้ เธอก็ถ่ายถอดภาพของมิจิรุออกมาได้ดีนะคะ สำหรับเราก็ผ่านอ่ะ ไม่ได้น่าเกลียดอะไร คือภาพของมิจิรุของคุณ Asano คือหญิงสาวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม สดใสร่าเริง ต้องมีความเป็นหญิงแบบเกิน 100% และต้องมีความรู้สึกที่เห็นแล้วอยากทะนุถนอม น่าปกป้องด้วย พร้อมกันในรอยยิ้มต้องฉาบประกายความเศร้านิดๆ ซึ่งเวลาเราเห็น Masami เล่นเราก็รู้สึกว่า อืม..มิจิรุก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะ (อาจเพราะเราจำเธอจากเรื่องอื่นไม่ได้ด้วยมั้ง เลยไม่รู้สึกว่าเล่นดีหรือไม่ดี แต่รู้สึกว่าเป็นมิจิรุได้เหมาะสมดี) อีกอย่างเรารู้สึกว่าบทอย่างมิจิรุเล่นยากนะ คือเป็นผู้หญิงที่เศร้าในอ่ะ อ่อนโยน+กึ่งๆ จะอ่อนแอ่ ต้องการการปกป้อง ร้องไห้เยอะมาก (ทั้งเรื่องนี้ร้องไปกี่ลิตรกันคะเนี่ย) แถมยามปกติก็ต้องยิ้มเยอะด้วย เห็นแล้วเหนื่อยแทน ไม่ใช่บทที่จะเล่นได้ง่ายๆ แหะ เราเลยรู้สึกว่า Masami ก็สอบผ่านสำหรับการเป็นมิจิรุ
ส่วน Asami Mizukawa หรือที่ได้รับบท Eri เราเคยติดตามงาน Asami มาก่อนเช่นกันค่ะ ก็แน่ล่ะเรื่อง Nodame Cantabile และหนังเรื่อง Shinku (เรื่องนี้ค่อนข้างอาร์ตและออกแนวแอบจิต+แฝงเลสเล็กน้อย) เรื่องนี้ Asami ฮาแตกมากค่ะ แบบไฮเปอร์เกินร้อย ตลกมาก บทที่ผ่านๆ มาไม่ใช่แบบนี้เลย แต่เราชอบ Asami เวลาเล่นอะไรฮาๆ ตลกๆ นะ มันน่าร๊ากกกกกอ่ะ >.< ยิ่งถ้าใครมีโอกาสได้ดู Last Friends เวอร์ชั่น Zone 2 ของญี่ปุ่น มันจะมีตอนพิเศษแถมให้ชื่อว่า エリー my Love (Eri my Love) ซึ่งจะเป็นตอนสั้นๆ ฮาๆ ให้ดู แนะนำให้หามาดูในยูทูบก็มีค่ะ คลิ๊ก ดูไปขำไป เล่นกันไปได๊! จะบ้าตาย ใครดูแล้วไม่ฮากลับมาด่าเราได้เลย กร๊ากกกก ขำมากกกก ช่วยเบรคความเครียดของซีรี่ส์ได้เป็นอย่างดี คริคริ
ก็อย่างที่พล่ามมาน้ำลายท่วมปากทางด้านบน ว่าซีรี่ส์เรื่องนีัเป็นการรวมกันของสิ่งที่ดีๆ หลายอย่าง ผลงานจึงเพอร์เฟ็คได้ขนาดนี้ มาดูด้านเรตติ้งกันบ้างดีกว่า
รายชื่อตอน
# | ชื่อตอน | อัตราความนิยม | วันออกอากาศ | |||
---|---|---|---|---|---|---|
1 | "ปัญหาที่บอกใครไม่ได้ DV การต้งครรภ์ รักต้องห้าม" (誰にも言えない悩み DV、妊娠、禁断愛) | 13.9 | 10 เมษายน 2551 | |||
2 | "ความลับของชีวิต" (命がけの秘密) | 15.6 | 17 เมษายน 2551 | |||
3 | (命を削る想い) | 15.9 | 24 เมษายน 2551 | |||
4 | (引き裂かれた絆) | 15.9 | 1 พฤษภาคม 2551 | |||
5 | "ค่ำคืนที่สุดสะเทือนใจ" (衝撃の一夜) | 19.9 | 8 พฤษภาคม 2551 | |||
6 | (命がけの逃避行) | 17.2 | 15 พฤษภาคม 2551 | |||
7 | "ความจริงที่โหดร้าย" (残酷な現実) | 16.0 | 22 พฤษภาคม 2551 | |||
8 | "จดหมายฉบับสุดท้าย" (最後の手紙) | 18.8 | 29 พฤษภาคม 2551 | |||
9 | "ชีวิตของคุณ" (君の命) | 18.0 | 5 มิถุนายน 2551 | |||
10 | "บทสุดท้าย ความรักและความตาย" (最終章・愛と死) | 20.7 | 12 มิถุนายน 2551 | |||
11 | "สู่อนาคต" (未来へ) | 22.8 | 19 มิถุนายน 2551 |
จะเห็นได้ว่าตอนแรกนั้นเปิดตัวได้ธรรมดา ไม่หวือหว่ามากนัก คือเรตติ้งที่ 13.9 (แต่จริงๆ เรตนี้ก็ไม่น่าเกลียดหรอกค่ะ เพียงแต่อาจจะไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างที่สุด) แต่หลังจากนั้นก็ถีบตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ แน่นอนว่าเป็นเพราะทุกอย่างที่เรากล่าวไปทางด้านบนคือ การได้ส่วนผสมที่ลงตัวของทุกอย่าง นักแสดง บท เพลงประกอบ การลำดับภาพสวยมากๆ ต้องชมผู้กำกับและคนตัดต่อจริงๆ ที่สำคัญเนื้อเรื่องบีบคั้น สะท้อนจิตใจมนุษย์และปัญหาของสังคมออกมาได้ดีมาก ตอนสุดท้ายจึงพุ่งไปแตะที่ 22.8 ได้อย่างสวยงาม จริงๆ มี SP ออกมา 1 ตอนนะ แต่สำหรับเรามันไม่ใช่ SP อ่ะ ใครดูแล้วอย่าคาดหวัง เหมือน RECAP 11 ตอนที่ผ่านมาแล้วมากกว่า ไม่รู้จะทำออกมาให้เสื่อมเสียความงามของซีรี่ส์เพื่ออะไร บ้าจริงๆ (เราโคตรจะเกลียด SP เรื่องนี้เลยอ่ะ เพราะมันไม่ใช่ SP มันเป็นแค่รวบตอน 1-11 มาฉายซ้ำ บ้าบอมาก =_=;)
ดูซีรี่ส์เรื่องนี้จบ ทำให้ในหัวเรามีคำถามเต็มไปหมด มันทำให้เรามองความรัก มองอัตลักษณ์ทางเพศของมนุษย์เปลี่ยนไป ทำให้เราเข้าใจคนเราที่แตกต่างกันได้มากยิ่งขึ้น ถ้าถามว่าเรื่อง Last Friends ยูริรึเปล่า เราบอกตรงๆ ว่าไม่อยากให้แปะป้าย Label ให้ซีรี่ส์เรื่องนี้ในแบบนั้น เพราะมันมีอะไรที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากกว่าแค่วายหรือไม่วาย เลสหรือไม่เลส เกย์หรือไม่เกย์ แต่ Last Friends พูดถึงความรักในหลายเฉดที่ไม่ใช่แค่ขาวกับดำ หญิงกับชาย หญิงกับหญิง หรือชายกับชาย เรื่องนี้ไม่ใช่เลย! เรื่องนี้มันวิวัฒตัวเองให้ไปไกลกว่านั้น เรากล้าพูดได้เลยว่า หากมนุษย์สามารถมีความรักต่อกันได้เฉกเช่นตัวละครแบบในเรื่องนี้ (โดยเฉพาะตอนจบ) สังคมคงจะมีความสุข ไร้ซึ่งปัญหากว่าเดิมเยอะ ตอนจบบางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ แต่เราชอบนะ เพราะด้วยส่วนตัวเรามองว่ามันเป็นทางออกที่สวยงามภายใต้สถานการณ์นั้น มันดีที่สุดแล้ว และงดงามที่สุดด้วย(ซึ่งโอกาศจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตคงจะใกล้เคียง 0 เหอๆ)
ตัวละครที่เราประทับใจมากที่สุดในเรื่องนี้คือ 2 คนนี้ค่ะ อยากรู้ว่าทำไมถึงประทับใจ ต้องไปดูเอง แล้วไม่ต้องถามว่า อ้าวไม่วายเหรอ ลงเอยด้วยกันเหรอ อย่างที่เราบอกไป เรื่องนี้มีมากกว่าแค่ความวายหรือไม่วาย หรือชายกับหญิง แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ รับรองได้ว่าไม่จบปาหมอน ประเภทหนังไทยที่ชอบให้ผู้หญิงกลับใจไปคบผู้ชาย เรื่องนี้คุณไม่ต้องห่วง ไม่เป็นแบบนั้นแน่นอนค่ะ :)
ต่อไปนี้จะเป็นการสปอยด์ ใครดูจบแล้วจะลากอ่านก็ได้นะคะ ใครยังไม่ได้ดูก็ไม่ต้องลากอ่านล่ะ เพราะจะเป็นการสปอยด์ถึงเนื้อหา ถ้าอยากรู้เรื่องเองก็อย่าอ่าน เตือนแล้วนะ เราอยากแชร์สิ่งที่คิดกับคนที่ดูจบแล้วเท่านั้น อยากระบายว่างั้น ^^;
สิ่งที่เราประทับใจมากๆ หลังดูจบก็ก็คือความรักที่รุกะมีต่อมิจิรุ และความรักที่ทาเครุมีต่อรุกะ ความรักที่ 2 คนนี้มีให้ต่อคนที่ตนรักนั้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์และงดงาม เต็มไปด้วยความเสียสละและอุทิศตน การสละความสุขส่วนตัว การทำเพื่อคนอื่นอย่างแท้จริง เป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่สุุด เพราะไม่ต้องการการผูกมัด หรือการเป็นเจ้าของ ไม่ต้องการการรักตอบ ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความไคร่หรือตัณหา หากใครสักคนรักคุณได้แบบนี้ คุณจะเป็นคนที่โชคดีและน่าอิจฉามากที่สุดคนนึงในโลกเลยก็ว่าได้ คล้ายๆ ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก คือรักด้วยบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการเงื่อนไขหรืออะไรตอบแทน
รุกะรักมิจิรุอยู่ข้างเดียวมานาน แต่ในท้ายที่สุดแม้มิจิรุจะไม่สามารถรักรุกะในแบบที่รุกะรักตนได้ แต่รุกะก็ไม่ได้ตีอกชกตัว จมทุกข์กับความรัก แต่ตรงกันข้าม ความรักที่รุกะมีต่อมิจิรุไม่ได้สั่นคลอนหรือน้อยลงไปเลย เธอรักมิจิรุแม้จะรู้ว่าไม่มีวันได้ครอบครองครัวหัวใจ ขอเพียงคนที่เธอรักมีความสุขเท่านั้น เธอยินดียืนหยัดอยู่เคียงข้างจนวันสุดท้ายของชีวิต แค่เพียงจะได้ดูแล ปกป้องและทำให้มิจิรุมีความสุข ส่วนทาเครุที่หลงรักรุกะ แม้รุกะจะไม่มีวันรักทาเครุตอบในแบบที่ทาเครุต้องการได้เช่นกัน แต่ก็เหมือนกับรุกะ ทาเครุก็ไม่ได้จมปลัก กร่นโทษฟ้าดิน ยิ่งไปกว่านั้น ทาเครุเสียอีกที่เป็นฝ่ายสนับสนุนให้กำลังใจ พยายามหาทางให้มิจิรุกลับมา พารุกะไปหามิจิรุ เพื่อให้รุกะมีความสุข ทาเครุไม่สนใจว่า รุกะจะชอบผู้หญิง หรือจะเป็นเพศอะไรทั้งนั้น เค้าชอบรอยยิ้มของรุกะ และอยากเห็นรุกะมีความสุข ขอแค่ได้เห็นรอยยิ้มและทำเพื่อรุกะ เค้าก็มีความสุขแล้ว เค้ายินดีทำตราบนานเท่านานเช่นกัน ความรักของทั้งสองคนนี้ที่มีต่อคนที่ตนรักจึงงดงาม บริสุทธิ์ อย่างแท้จริง
ตอนที่ระกุเผยตัวตนที่แท้จริงกับพ่อและกับทาเครุ มันเป็นฉากที่สะเทือนอารมณ์และทรงพลังมาก โดยเฉพาะฉากที่ตอนทาเครุอ่านจดหมายและรู้ความลับขอบรุกะ ว่าตัวตนเนื้อในที่แท้จริงเป็นอย่างไร และทำไมรุกะถึงไม่มีความสุข (แม้จะไม่แสดงออกว่าตนทุกข์ก็ตาม) ทาเครุกลับบอกว่าเค้ายังคงรักรุกะ และไม่ต้องถามว่ารักในฐานะที่ระกุเป็นผู้หญิง หรือในฐานะมนุษย์คนนึง เพราะเค้าก็ตอบไม่ได้ รู้เพียงแต่เค้าอยากอยู่เคียงข้าง ในยามรุกะเป็นทุกข์ และต้องการยืนเคียงข้างรุกะตลอดไป รุกะที่เคยรู้สึกมาตลอดว่ารู้สึกโดดเดี่ยว ไร้คนเข้าใจ ณ ห่วงเวลานั้นเป็นครั้งแรกที่รุกะรู้สึกว่า ตนไมได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป อย่างน้อยๆ มีคนๆ นึงที่รักตัวเธอ โดยไม่สนใจเพศหรือสิ่งที่เธอเป็น ฉากนี้เรียกน้ำตาไปได้เยอะมาก
ฉากที่รุกะสารภาพกับพ่อว่า ตนนั้นจะไม่มีวันแต่งงานอย่างผู้หญิงทั่วไปและไม่สามารถรักผู้ชายได้ตลอดชีวิต ก็เป็นฉากที่เราไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะฉายระดับ Mainstream ของญี่ปุ่นได้ พับผ่าซิ!! เป็นฉากที่สำคัญมากสำหรับการยอมรับมนุษย์คนนึงในสิ่งที่เค้าเป็น ก่อนหน้านี้รุกะไม่อยากให้พ่อเสียใจ ไม่อยากให้ใครรู้ ได้แต่เครียดและเจ็บปวดอยู่คนเดียวมาโดยตลอด แต่ในที่สุดเธอก็สามารถก้าวข้ามผ่านความกลัวตรงจุดนั้นได้ (ต้องขอบคุณทาเครุด้วย ที่ทำให้เธอมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น และมีความกล้ามากขึ้นที่จะบอกคนอื่นถึงสิ่งที่ตัวเป็นและไม่แบกควาทุกข์นี้ไว้คนเดียวอีกต่อไป)
พ่อของรุกะนับเป็นพ่อตัวอย่างที่ดีมากๆ ค่ะ คือแม้จะเจ็บปวดที่รู้ แต่ก็ไม่แสดงออกให้รุกะเห็น เค้าสนับสนุนรุกะ ในฐานะของพ่อ ในฐานะของคนในครอบครัว เค้ารักรุกะในแบบที่รุกะเป็น ในตอนหลังทั้งครอบครัว แม่และน้องชายรวมถึงเพื่อนเอริ ก็สามารถรับรุกะในแบบที่เป็นได้ แน่นอนว่ามันต้องสร้างบาดแผลในจิตใจให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่สิ่งที่ทุกคนแสดงออกก็คือ การยอมรับและสนับสนุน การร่วมกันก้าวผ่านไปด้วยกันให้ได้ แม้อาจจะเจ็บปวดมีอุปสรรคแต่ด้วยความรักที่มีแล้ว ความรักย่อมเอาชนะได้ทุกสิ่ง อย่างที่บอกในเรื่องนี้ ตัวละครแต่ละตัว จะนึกถึงผู้อื่นก่อนตัวเอง ความสุขของคนที่ตนรักจะต้องมาก่อนควาทุกข์ของตัวเอง จริงอยู่ว่ามันต้องมีคนที่ไม่สามารถรับรุกะได้ แต่อย่างน้อยๆ ครอบครัวและเพื่อนรักเธอในแบบที่เธอเป็น เพียงแค่นี้ก็เป็นสื่อสำคัญที่ดีที่สุดที่สามารถสื่อไปยังผู้ชมแล้วล่ะค่ะ งดงามๆ บราโว่ ปรบมือให้เลย
เอาล่ะ มาถึงโซวสุเกะบ้าง ในเรื่องนี้มีคนเกลียดโซวสุเกะเยอะมาก ก็แน่ละเค้าทั้งเตะทั้งต่อยผู้หญิง ไหนจะทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ในสังคมเราก็คงจะมีไม่น้อยกับผู้ชายที่เป็นแบบนี้ (เราคิดว่าผู้หญิงก็มีนะ แต่อาจไม่ใช่ทางร่างกาย แต่เป็นทางจิตใจ ประเภท รักแรง หึงแรง หวงแรงน่ะ) ถามว่าเราเข้าใจโซวสุเกะไหม มันอาจฟังดูไม่น่าเชื่อนะ แต่เรากล้าพูดว่าเราเข้าใจ เพียงแต่เนื้อเรื่องไม่ได้นำเสนอออกมาชัดเจนว่าทำไมโซวสุเกะเป็นแบบนั้น รุงแรงแบบนั้น อาจมีปมที่อดีตแม่ทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็ก เลยมีความรู้สึกเกลียดผู้หญิงลึกๆ (เพศแม่) อย่าลืมว่าโซวสุเกะโดนทิ้งไปตั้งแต่ชั้นประถม เราเองตอนเด็ก(ประถม)พ่อแม่เคยไปทำงานต่างจังหวัด เรารู้สึกเหงามาก นี่ขนาดเราไม่ได้โดนทิ้งนะ เหอๆ เรายังร้องไห้แทบทุกวัน เราเจอพ่อกับแม่แค่เสาร์-อาทิตย์เป็นเวลาหลายปี ดังนั้นเราเข้าใจความเหงา และโดดเดี่ยวของโซวสุเกะ (หรือมิจิรุ) ในระดับนึง เวลาคุณเป็นเด็ก คุณยังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ในชีวิตคุณจะมีใครสำคัญไปกว่าพ่อกับแม่ถามจริง ให้ลุงป้าน้าอาดีกับคุณแค่ไหน มันก็ไม่เหมือนพ่อกับแม่หรอก จริงๆ ค่ะ ดังนั้นโซวสุเกะที่โดนทิ้ง คงจะรู้สึกเหมือนโดนทรยศ มันเจ็บปวดเป็นบาดแผลขนาดใหญ่ พอมาเจอมิจิรุ ด้วยความที่รักมิจิรุมาก มากจนกลายเป็นหลงและหน้ามืด กลัวมิจิรุจะทิ้งไปเลยต้องซ้อมเช้าซ้อมเย็น เหอๆ ถามว่าเข้าใจไหม ตอบได้เลยว่าเข้าใจ แต่ถ้าถามว่ารับได้ไหม ไม่ต้องคิดเลยค่ะ ไม่มีวันรับได้ ในชีวิตจริง เราไม่ทนแบบมิจิรุหรอก มาเงื้อมือกับเราแค่ครั้งเดียวเราก็คงหนีไม่ก็ไปแจ้งความแล้วล่ะ
ทีนี้ถามว่าทำไมมิจิรุถึงเป็นแบบนั้น ถึงเราจะกล้าพูดเลยว่าเราจะไม่มีวันยอมทนแบบมิจิรุ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เข้าใจมิจิรุนะ เธอเติบโตมาแบบไม่มีใครรัก พูดแบบนี้ผิด เอาใหม่ๆ (เพราะรุกะรักมิจิรุ แต่มิจิรุไม่รู้ตัว) ต้องพูดว่ามิจิรุเติบโตมาแบบ 'รู้สึก' ว่าไม่มีใครรักตน ทั้งพ่อกับแม่ พอเจอคนที่รักเธอ เทคแคร์เธอ อย่างโซวสุเกะ มันก็เลยกลายเป็นจุดอ่อนไป ด้วยความที่อยากได้ความรักมาเติมเต็มความเหงาลึกๆ การกลัวจะต้องกลับไปเหงาและโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวอีก ดังนั้นถึงจะโดนซ้อมเช้าซ้อมเย็นก็เลยยอม ขอเพียงแค่ให้ได้รับความรัก เราเห็นมีแต่คนเกลียดมิจิรุ เกลียดที่ยอมโซวสุเกะ และเกลียดที่ไม่สามารถรักรุกะในแบบที่รุกะรักตอบได้ แหม คุณจะเอาอะไรมากมายถามจริง แน่ล่ะว่าเราผิดหวังที่มิจิรุไม่สามรถรับรักรุกะตอบได้ แต่เราก็ไม่โทษเธอนะ ก็ในเมื่อเธอไม่ได้รักรุกะแบบนั้นอ่ะ จะไปบังคับฝืนใจได้ไงกันค๊า เหมือนคนเป็นเกย์ เป็นทอมอ่ะ มีผู้หญิงหรือผู้ชายมาชอบคุณในแบบเพศตรงข้าม คุณจะรับรักตอบได้ไหมล่ะ ก็ทำนองเดียวกัน มิจิรุไม่ได้เป็นแบบรุกะ เธอไม่สามารถรักรุกะได้ในแบบเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เจ็บปวดอะไรเลย อย่าลืมว่าซีรี่ส์เรื่องนี้เริ่มต้นมาจากการที่มิจิรุพูดถึงรุกะมาโดยตลอด ว่าเสียใจแค่ไหนที่ผ่านมาที่ไม่เคยเข้าใจรุกะ ไม่เคยรู้ว่ารุกะเจ็บปวดเรื่องอะไร หรือคิดอะไรกับตัวเอง มิจิรุเองก็รักรุกะ แม้จะคนละความหมาย เธอเองก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่อยากให้ลืมคิดตรงจุดนี้ด้วย ลึกๆ แล้วเราเชื่อว่ามิจิรุรักรุกะแบบประเภทที่ว่า more than friend but less than lover คือเป็นคนสำคัญที่ไม่สามารถระบุได้ตรงๆ ว่ารักในระดับไหน รู้แค่ว่ารัก และอยากให้เค้ามีความสุข ไม่อยากให้ใครมาว่าร้าย ไม่งั้นตอนจบไม่ตบหน้าโซวสุเกะที่ทำร้ายรุกะหรอก จริงไหม? มิจิรุเองก็อยากปกป้องรุกะในแบบของตัวเองเช่นเดียวกัน ตอนที่โซวสุเกะบังคับคืนใจ มิจิรุก็ยังบอกว่าจะทำให้แบบนี้ได้ตลอดไป ขอเพียงไม่ไปทำร้ายรุกะเพื่อนของเธออีก รวมทั้งทาเครุด้วย แปลว่าในท้ายที่สุดแล้ว มิจิรุก็สามารถก้าวข้ามผ่านการต้องการความรักไปได้ และกลายเป็นรักคนอื่นอย่างเสียสละ รักคนที่ตนรักและอยากให้เค้าอยู่สุขสบายดีและปลอดภัย โดยไม่สนใจตนเองว่าจะต้องทุกข์แค่ไหน ในท้ายที่สุดมิจิรุก็ทำได้เช่นเดียวกับทาเครุและรุกะ แม้จะในแบบที่ดูเข้าใจยากกว่าก็ตาม
ก็เอาล่ะค่ะ หลักๆ คงจะมีพูดเพียงเท่านี้นะ อยากพูดอีกเยอะ แต่เหนื่อยแล้ว ไว้ค่อยมาอัพใหม่ (จบปาหมอนแบบนี้เลยเนอะตู เหอๆ)
แต่ก่อนอื่นตัดเกรดกันก่อนจ๊า
ผลคะแนน
รับไปเลย 9/10 เย้ๆ!! Omedetou!! รีบไปหามาดูกันเร๊วววว คริคริ
หัก 1 คะแนน เนื่องจากเกลียด SP ที่ทำออกมาทำไมไม่รู้ ไม่ใช่ SP ซักกะนิด เฮ้อ! รมณ์เสีย และก็คิดว่าฉากจบมันน่าจะดีได้กว่านี้อีก(นิดนึง)!! มันดูรีบ+ลวกไปอ่ะนะ แต่ก็โดยรวมก็ดีมากแล้ว เป็น J-Series ที่ข้าพเจ้าขอ Highly Recommend!!
Credit: Google,Wiki,D-addicts